ผู้เขียน หัวข้อ: บทที่ 687 ก้าวสู่ปีที่ 11 ของ ชุมทางหนังไทยในอดีต  (อ่าน 340 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มนัส กิ่งจันทร์

  • มนัส กิ่งจันทร์ ภาคสอง ชุมทางหนังไทยในอดีต
  • Moderator
  • พี่น้อง thaicine Gold member
  • ***
  • กระทู้: 2837
  • พลังใจที่มี 35
  • เพศ: ชาย
    • มนัส ชุมทางหนังไทยในอดีต

บทที่ 687
ก้าวสู่ปีที่ 11 ของ ชุมทางหนังไทยในอดีต
โดย มนัส กิ่งจันทร์

(facebook 3 กรกฎาคม 2558)



สองข้างทางเมืองสุรินทร์ 28 มิถุนายน 2558

        ชุมทางหนังไทยในอดีต.. คำๆ นี้ ผมเริ่มใช้มาตั้งแต่วันที่ 5 กรกฎาคม 2548 ตอนนั้น ผมเขียนเล่าเรื่องอดีตของหนังไทยประกอบภาพนิ่งใน www.thaifilm โดยใช้ชื่อว่า “มนัส 138” ด้วยปรารถนาที่จะให้คนรักหนังไทยเก่าๆ ได้มีเวทีสนทนาเพิ่มมากขึ้นโดยยึดหลักที่ว่า “คุณค่าหนังไทย อยู่ใจของคุณ” หนังไทยจะไม่มีวันตายไปจากหัวใจเราทุกคน.. ผมเขียนอยู่เว็บไซด์ไทยฟิล์มมาจนถึงต้นปี 2553 จึงเลิกเขียน..จากนั้นวันที่ 10 พฤษภาคม 2553 ผมจึงเริ่มเข้ามาเขียนใน facebook ซึ่งแรกๆ ก็โพสแต่ภาพนิ่ง ต่อมาก็โพสหนังวีดีโอประกอบการสนทนา ก็เขียนไปได้ 900 กว่าบทแล้ว แต่ facebook ตัวแรกก็ถูกปิด..ก็เลยต้องเปิดใหม่อีกหลายครั้งจนถึง faecbook ระบบกลุ่มใช้ว่า “ชุมทางหนังไทยในอดีต Thai Old Movie Station” นี่แหละครับ

        พ้นจากวันที่ 5 กรกฎาคม 2558 ที่จะถึงนี้.. ชุมทางหนังไทยในอดีต ก็จะก้าวสู่ปีที่ 11 แล้วครับ..  ถามว่า ยังมีหนังให้ช่วย ให้พูดถึงอีกหรือเปล่า ก็ต้องตอบว่า ยังมีหนังไทยเก่าๆ อีกหลายเรื่องที่พวกเรายังตามหาไม่พบ..ไม่พบก็เพราะขาดเบาะแสชี้นำ.. ไม่พบเพราะหนังถูกเก็บไว้กับคนที่ไม่คิดจะเผยแพร่.. ไม่พบเพราะหนังถูกธรรมชาติทำลายไปก่อนหน้านี้แล้ว แต่กระนั้น พวกเราก็ยังคงดิ้นรนที่จะช่วยกันตามหาหนังไทยเก่าๆ กันอีก..  ช่วยกันตามมีตามเกิด แม้ไม่ได้หนังเต็มเรื่อง ก็ไม่เป็นไร ขอเพียงแค่มีข่าว มีเรื่องราว มีเศษฟิล์มหลงเหลืออยู่บ้าง แค่นี้ พวกเราก็ดีใจแล้วครับ..

        วันนี้ ไม่มีหนังอะไรมาฝาก แต่เผอิญว่า ผมมีโอกาสผ่านเมืองสุรินทร์ที่ผมเคยอยู่มาตั้งแต่เกิด ก็เลยนั่งรถถ่ายวีดีโอที่ที่ผมเคยเห็นตอนเด็กๆ แล้วก็นำมาเล่าอดีตให้ฟังครับ..


คลิกดู... สองข้างทางเมืองสุรินทร์ 28 มิถุนายน 2558



-------------------------------------------









------------------------------------


        ขอบคุณทุกท่านที่ยังเป็นแรงใจมาจนถึงทุกวันนี้.. เข้าสู่ปีที่ 11 แล้ว วันนี้ ยังไม่มีหนังอะไรมาให้ดู แต่เผอิญว่า ผมมีโอกาสผ่านเมืองสุรินทร์ที่ผมเคยอยู่มาตั้งแต่เกิด ก็เลยนั่งรถถ่ายวีดีโอที่ที่ผมเคยเห็นตอนเด็กๆ แล้วก็นำมาเล่าอดีตให้ฟังครับ..

        ผมไปทำบุญที่ศรีสะเกษครั้งนี้ ก็ถือโอกาสเข้าไปบ้านพี่เขยด้วย กะว่าจะไปขอภาพถ่ายที่ถ่ายติด "โรงหนังกรุงชัยรามา สุรินทร์" ราวปี 2514 มาประกอบการเขียนเรื่องราวด้วย.. แต่ค้นหาเท่าไร ก็ยังค้นไม่พบ คงพบแต่ภาพใกล้เคียงภาพนี้ซึ่งถ่ายมุมเดียวกัน เพียงแต่แบ็กกราวน์หลังภาพของภาพนี้ จะมองไม่เห็นตัวโรงหนังกรุงชัยรามา ที่อยู่ด้านหลังครับ ภาพนี้ถ่ายบนดาดฟ้าโรงแรมกรุงศรีโฮเต็ล หน้าตลาดสดเทศบาลเมืองสุรินทร์ ช่วงปีนั้น พี่เขยเขามากับรถขายยาตราเด็กในพานทอง มาเร่ขายยา แต่ไม่ได้ฉายหนังนะครับ แล้วบรรดาพวกขายยาหรือหนังขายยา เขาจะชอบมาพักที่โรงแรมกรุงศรีโฮเต็ล.. พี่สาวผมก็ช่วยแม่ขายผักในตลาดสด จึงมีโอกาสได้พบกัน จีบกันนะครับ..


ภาพนี้ถ่ายบนดาดฟ้าโรงแรมกรุงศรีโฮเต็ล หน้าตลาดสดเทศบาลเมืองสุรินทร์

         พี่เขยเคยเล่าให้ฟังว่า ก่อนหน้านี้ เขาก็อยู่กับหน่วยหนังขายยามาก่อน เคยฉาย มนต์รักลูกทุ่ง มิตร-เพชรา ด้วย ส่วนภาพนี้เป็นลูกพี่ของพี่เขย เขามาเมืองสุรินทร์ ก็เลยถ่ายรูปไว้ด้วย..ผมเห็นภาพนี้ครั้งแรกก็สะดุดตากับชื่อร้านถ่ายรูป โฟโต้คิงส์ สุรินทร์ เพราะสมัยเด็กๆ ผมก็ถ่ายรูปนักเรียนที่ร้านนี้แหละเพราะใกล้บ้านที่สุด.. เห็นชื่อร้านถ่ายรูปเหล่านี้ก็คิดถึงร้านถ่ายรูปอื่นๆ ของเมืองสุรินทร์ครับ.. และก็คิดได้ว่า ทำไม รูปถ่ายโรงหนังเมืองสุรินทร์ 4-5 โรง ถึงหาได้ยากจริงๆ... คำตอบก็คือ เกิดไฟไหม้ใหญ่สุรินทร์ถึง 2 ครั้ง แต่ละครั้งก็ไหม้ร้านถ่ายรูปเหล่านั้นด้วยครับ...


ภาพนี้เป็นลูกพี่ของพี่เขย

        ดูรูปด้านหน้าแล้ว ก็ต้องดูหลังด้วยครับ..เพราะคนสมัยก่อน ถ้าจะให้รูปถ่ายใครไว้ เขาจะต้องเขียนด้านหลังภาพเสมอครับ..


ดูรูปด้านหน้าแล้ว ก็ต้องดูหลังด้วยครับ

         แล้วนี่ก็พี่สาวผมครับ.. ถ่ายกับลูกชายชื่อ อ๊อด เป็นหลานชายคนแรกที่สนิทกับผมมากที่สุดครับ..ตอนนั้นจะเห่อหลานชายคนนี้มากครับ..


พี่สาวผมครับ


หลานชายไปถ่าย น่าจะราวๆปี 2517 ก็มีเก้าอี้หวายแบบนี้ครับ

        เป็นกลุ่มเพื่อนของพี่เขยที่เข้ามาขายยาที่เมืองสุรินทร์เมื่อราวปี 2514.. ก็ถ่ายรูปไว้ พอผมเห็นรูปก็ขอถ่ายมาดู..พี่เขยก็บอกว่า ไม่รู้จักเขา จะเอารูปไปทำอะไร ผมก็บอกว่า เห็นข้างล่างมีชื่อร้านถ่ายรูปอยู่ด้วย สมัยนั้นตัวเมืองสุรินทร์ น่าจะมีร้านถ่ายรูปอยู่ไม่กี่ร้านเช่น ห้องภาพทิพวรรณ อยู่แถวๆ หน้าวัดกลาง แล้วก็ร้านนี่แหละครับ ห้องภาพสุรินทร์โฟโต้... น่าเสียดายที่เมื่อเกิดไฟไหม้ใหญ่ ห้องภาพเหล่านี้ก็ถูกไฟไหม้หมด.. ต่อมาจึงมีห้องภาพโฟโต้คิงส์ ครับ


กลุ่มเพื่อนของพี่เขย

เห้าเหลียง แซ่น้า จากอดีตเรื่องโรงหนังมาคุยเรื่องร้านถ่ายรูปบ้างก็ดีนะครับ ชีวิตวัยเด็กผมก็เคยอยู่ร้านถ่ายรูปเหมือนกัน เคยเอาสีมาระบายรูปขาวดำให้เป็นสีธรรมชาติ แต่ฝีมือไม่ถึงเลยเละ (สีที่ว่าจะเป็นกระดาษฉีกมาแช่น้ำ)

ตุ๊กตา จินดานุช เรื่องร้านถ่ายรูป เด็กหญิงตุ๊กตา งง อยู่ว่า ทำไมทุกร้านต้องมีเก้าอี้หวายนางงาม เก้าอี้หวายคล้ายกระจาด และก็ต้องให้เราไปยืนเอานิ้วชี้แก้มบนเก้าอี้ ทุกทีทีผู้ใหญ่ยืนหน้าชายหาด ( ฉากทะเล )

ทิว ธรรมชาติ ดูแล้วเพลินครับ และฟังคุณมนัสเล่าให้ฟังแถวบ้านคุณมนัสที่จังหวัดสุรินทร์ก็เพลินอีกครับในอดีตทีไม่มีหลงเหลือให้ดู..นอกเสียจากความทรงจำเท่านั้น ที่ทำให้เราหวนคิดถึงครับ..ขอบคุณครับคุณมนัสเล่าเรื่องเก่าๆให้ฟังครับ...

Maxkie Mitt ดูรูปพี่สาวและพี่เขยของพี่มนัส...และอ่านเรื่องราวประกอบแล้ว.....ทำให้รู้ว่าพี่มนัสชอบและสนใจหนังไทยมาตั้งแต่เด็กๆ..และบวกกับได้สะสมข้อมูลเรื่องราวจากพี่เขยด้วย..ทำให้ยิ่งชอบมากเข้าไปอีก..จนฝังลึกถึงทุกวันนี้....เหมือนที่เพื่อนๆในกลุ่มจะเป็นแบบนี้เหมือนๆกัน

เห้าเหลียง แซ่น้า งานร้านถ่ายรูปเป็นงานละเอียดมาก แสงต้องพอดี ฟิล์มที่จะล้างต้องพอดี มืดไปก็ไม่ได้สว่างไปก็ไม่ได้ งานในห้องมืดก็ใช่ว่าจะง่ายนะครับ ยากมากๆเลย เข้าไปทีนึงก็เป็นชั่วโมงๆ ออกมาทีหน้ามืดเลย

Aartoanr Roopchom เรามาทีหลังเลยต่อไม่ติดไปไม่ถูกแต่ก็ดีใจนะมนัสที่ได้เล่าเรื้องราวต่างๆเหมือนเป็นประวัติศาตร์เมืองสุรินทร์ให้ฟังอะครับนอกจากมาสุรินทร์ต้องกินสุราและช้างแล้วยังมีอะไรอีกมากมายที่คนส่วนใหญ่ยังไม่ทราบอะครับผม

      วันพรุ่งนี้.. 5 กรกฎาคม 2558 ก็จะครบ 10 ปีบริบูรณ์แล้วที่ผมเขียนเรื่องราวของหนังไทยเก่าๆ ลงในอินเตอร์เน็ต... แล้วก็จะเริ่มก้าวสู่ปีที่ 11 แล้ว.. ถามว่า ยังไหวหรือเปล่า.. ก็ตอบตรงๆ ไหว.. แต่ไหวแบบใจเหี่ยวๆ นะครับ ไม่รู้หมู่นี้เป็นไร..เหมือนกับไม่มีเรี่ยว ไม่มีแรงในการเขียนเลยครับ...

      สัจจะธรรมที่ว่า.. ยิ่งสูง ยิ่งหนาว...ยิ่งมาไกล ก็ยิ่งโดดเดี่ยว..ท่าจะจริงนะครับ...ทุกวันนี้ แม้จะรู้สึกว่า จะได้เห็นหนังไทยเก่าๆ ที่ไม่คิดไม่ฝันว่า จะได้เห็นอีก..กลับได้เห็น ได้จับต้อง.. ฟิล์มหนังบางเรื่อง ไม่เคยคิดว่า วันหนึ่งจะได้เป็นคนฉาย ก็ได้ฉาย ได้ดู.. ทุกสิ่งทุกอย่างผ่านมาจนถึงจุดนี้ได้ก็เพราะมีเพื่อน มีผู้เห็นด้วยกับแนวทางของเรา แต่ก็นั่นแหละ เหรียญย่อมมีสองด้าน มันขึ้นอยู่กับว่า คนจะมองด้านหัวหรือก้อย... 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05 กรกฎาคม 2015, 03:50:12 โดย มนัส กิ่งจันทร์ »


"มนัส กิ่งจันทร์ ภาคสอง ชุมทางหนังไทยในอดีต" โดยเติมคำว่า "ภาคสอง" คั่นกลางไว้..
อดีตจากฟิล์มภาพยนตร์ ไม่มีวันตาย..