ผู้เขียน หัวข้อ: “บัวขาว” ทุ่มทั้งใจเททั้งกาย กับการแสดงนำในภาพยนตร์เรื่องแรก “นายทองดีฟันขาว”  (อ่าน 745 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ เซียวเหล่งนึ่งฯ

  • Administrator
  • พี่น้อง thaicine Gold member
  • *****
  • กระทู้: 1617
  • พลังใจที่มี 3



นายทองดีฟันขาว ภาพยนตร์แอคชั่นอิงประวัติศาสตร์ ผลงานกำกับลำดับที่ 10 ของบิณฑ์ บันลือฤทธิ์ ที่ได้คว้าตัวนักมวยชื่อดังของประเทศไทยอย่าง บัวขาว บัญชาเมฆ มารับนำทางการแสดงเป็นครั้งแรก และในวันนี้เรามาฟังกันว่าบัวขาวได้พูดถึงการแสดงครั้งนี้ว่าอย่างไรบ้าง

 

Q : แนะนำตัว

A : สวัสดีครับ ผม “บัวขาว บัญชาเมฆ” รับบทเป็น “จ้อย” หรือ “ทองดีฟันขาว” ตามชื่อหนังเลยครับ เรื่องนี้เป็นหนังที่ผมรับบทนำเต็มตัวเรื่องแรกครับ



Q : บทบาท-คาแรคเตอร์

A : “จ้อย” หรือ “ทองดี” จะเป็นคนพูดน้อยต่อยหนักแต่ก็มีอารมณ์ขัน เขาจะชื่นชอบในเรื่องหมัดมวยเป็นชีวิตจิตใจ ไม่หาเรื่องใครก่อน แต่ถ้ามีคนมาหาเรื่องก็จะไม่ยอมเช่นกัน ทองดีเป็นนักสู้มีความมุ่งมั่นไม่ย่อท้อในการเรียนรู้และฝึกฝนในวิชามวยต่าง ๆ จนโชคชะตาและความสามารถทำให้เขาได้เป็นทหารเอกของพระเจ้าตากสิน

คาแรคเตอร์นี้ก็จะเกี่ยวกับการแสวงหาหรือการค้นหา คือ อยากจะเป็นนักต่อสู้ อยากจะเรียนมวย อยากจะมีวิชาของตัวเองมาตั้งแต่เด็ก คาแรคเตอร์ก็จะเป็นคนบู๊ๆ เป็นคนรักอิสระ ไม่ชอบความวุ่นวาย ไม่ชอบอยู่ภายใต้ใคร มีความคิดของตัวเอง อยากเรียนรู้ศึกษาวิชาต่างๆ ไปเรื่อย พูดน้อยๆ สนใจเกี่ยวกับการต่อสู้มากกว่า ทุกคนในสมัยนั้นจะชอบเคี้ยวหมากกันก็เลยทำให้ฟันดำ ในส่วนของทองดีจะเป็นคนไม่ชอบกินหมากเคี้ยวหมาก ฟันก็จะขาว เลยได้ฉายาว่า “ทองดีฟันขาว” ตามชื่อเรื่อง

 

Q : เรื่องราวชีวิตของทองดีฟันขาว

A : ครับ เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องราวชีวิตนักสู้ของ “จ้อย” หรือ “ทองดี” ที่ต้องระหกระเหินจากครอบครัวตั้งแต่เด็กจนต้องออกเดินทางหาเงินเลี้ยงตัวเอง และเรียนรู้ฝึกฝนวิชาหมัดมวยจากครูมวยตามเมืองต่างๆ ทำให้เขาต้องต่อสู้เรียนรู้ชีวิตจนได้พบกับทั้งมิตรและศัตรูจนนำไปสู่จุดพลิกผันของชีวิตครั้งใหญ่เมื่อเขาได้เป็นทหารเอกคู่ใจแห่งพระเจ้าตากสิน

คือเริ่มต้นตั้งแต่เด็ก ๆ ก็จะชื่อ “จ้อย” ก่อน เป็นเด็กในเมืองพิชัย พอโตมาเราก็จะเปลี่ยนชื่อเป็น “ทองดี” แต่จะรู้จักกันในฉายา “ทองดีฟันขาว” เพราะว่าฟันขาวแตกต่างจากทุกคน เพราะเราจะไม่กินหมาก พ่อเราก็เป็นครูมวย รู้เกี่ยวกับวิชามวย แต่ไม่สอนวิชามวยให้ อยากให้ศึกษาเล่าเรียนไป แต่ในส่วนของทองดีก็คือ สนใจในการต่อสู้มากกว่า อยากเรียนวิชาหมัดมวย แต่พ่อไม่อยากให้เดินตามรอยพ่อ ไม่อยากจะให้มาเป็นเด็กอันธพาลเกเรไปชกต่อยกับชาวบ้านเค้า แต่ทองดีก็โดน “เชิด” ลูกเจ้าเมืองรังแกเสมอ จนวันหนึ่งเกิดเรื่องชกต่อยกันจนเชิดบาดเจ็บ เราก็เดือดร้อนอยู่ไม่ได้ละ ก็เลยต้องหนีออกจากหมู่บ้าน หนีจากพ่อแม่ไป ก็เลยต้องสนใจศึกษาเกี่ยวกับวิชามวยต่างๆเพื่อที่จะทำให้ตัวเองเก่งขึ้นมาเลยเป็นการเริ่มต้นหาวิชาความรู้เกี่ยวกับมวย, ดาบ, เหาะเหินตีลังกาไปเรื่อยๆ ต้องเดินทางไปแต่ละสำนักแต่ละค่ายที่ได้ยินว่ามีสอนวิชาต่าง ๆ ต้องร่อนเร่ไปเรื่อย โดยในใจของทองดี คือ ถ้าอยากจะเก่งเหนือใคร ก็ต้องไปหาครูที่เก่งกว่าเขาทางนั้น แล้วก็ต้องศึกษาว่าครูคนไหนที่เก่งด้านไหนก็จะต้องไปเรียนกับครูคนนั้นตามที่ได้ยินมาว่าเค้าเก่งจริง ๆ หลังจากที่เราแสวงหาได้เรียนวิชาต่าง ๆ จนตัวเองคิดว่ามีวิชามวยในตัว จากที่ไปศึกษาจากครูมวยทั่วทุกสารทิศละ ก็ได้ยินว่าเค้าจะมีการเปรียบมวยขึ้นชกเพื่อพิสูจน์ความเก่งของแต่ละคน แต่ละภาค แต่ละที่ ไหน ๆ เราก็ได้เรียนวิชามวยต่าง ๆ มาก็น่าจะไปประลองดูว่าจะเป็นยังไง ซึ่งจะต้องไปประลองหน้าพระที่นั่งของท่านพระยาตากด้วย ตรงนี้ก็เลยทำให้เราสนใจขึ้นมาครับ


Q : การเดินทางผจญภัยนี้ก็จะมีเพื่อนร่วมแก๊งด้วย

ใช่ครับ ในการเดินทางไปทั่วทุกที่ก็จะมีคู่หูคู่เพื่อนที่มีประสบการณ์ร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน อยากเดินทางไปด้วยกันก็จะมี “บุญเกิด” ที่เป็นเด็กขาดพ่อแม่ไร้ญาติเหมือนกัน พอเห็นทองดีเก่งเรื่องหมัดมวยก็อยากฝากตัวเป็นศิษย์เลยตามติดทองดีไม่ห่าง แล้วก็มี “หมวยเล็ก” ลูกสาวเจ้าของโรงงิ้วที่ทองดีไปฝึกวิชาด้วย หมวยเล็กไม่ค่อยชอบทางงิ้ว อยากออกผจญภัยไปกับเราก็เลยแอบตามมา พอเดินทางไปเรื่อย ๆ ก็จะมี “ไอ้ถึก” อีกคนหนึ่งที่อยากอยู่ในแก๊งเราด้วย อยากเดินทางไปด้วย ก็ทำให้เรามีความคิดแตกต่างกัน ถกเถียงหยอกล้อกันไปในการเดินทางต่างๆ เพื่อไปร่ำเรียนวิชามวย การป้องกันตัว การตีลังกา การฟันดาบ เทคนิคการออกอาวุธต่าง ๆ จนนำไปสู่การพิสูจน์ความสามารถของตัวเองในภายภาคหน้าครับ

 

Q : การเตรียมตัวในการรับเล่นบทนี้

A : จริง ๆ แล้วคาแรคเตอร์ในเรื่องแรกนี้ก็เข้ากับสไตล์ของผมครับ ซึ่งเป็นสไตล์การต่อสู้เสียส่วนมาก ก็จะใช้แอคติ้งกับบุคลิกหน้าตานิดหน่อย แต่ว่าอาจจะมาขัดนิดนึงตรงการสื่อคำพูด เราแบบลิ้นใหญ่ พูดไม่ค่อยคล่อง และบทมันเป็นการพูดสไตล์ย้อนยุคก็ทำให้ลืมหรือว่าต้องคิดอยู่ตลอดเวลา และก็อาจจะพะวง กลัวผิดอะไรอย่างนี้ แล้วพูดเสร็จก็มาต่อสู้ ก็อาจจะมีเกร็งพอสมควร ตอนแรกๆ ก็จะมีครูมาสอนเรื่อง แอคติ้งรวมถึงการพูดการจา การพูดในระยะห่าง ระยะใกล้ เราพูดเหมือนคุยกันแบบไหน ครูก็มาสอนที่ค่ายมวยเลย แล้วก็แอคติ้งพูดไล่เสียง ก็รู้สึกว่าตรงนี้ช่วยได้มาก

 

Q : ก่อนมาแสดงรู้จักประวัตินายทองดีมากน้อยแค่ไหน

A : ตอนนั้นก็ยังไม่ได้ศึกษาอะไรมากมาย รู้แค่พื้น ๆ ตอนสมัยเรียน แต่พอเราได้รับบทก็เริ่มศึกษาว่าความเป็นมาเป็นยังไง นายทองดีมาจากไหน จ้อยมาจากไหน พระยาพิชัยมาจากไหน พระยาพิชัยเป็นอะไรกับพระเจ้าตาก อยู่เมืองไหน ต่อสู้แบบไหน ก็รู้จักมากขึ้นครับ พอเราได้รู้ประวัติ ตอนเล่นเราก็รู้สึกอยู่ข้างในว่าคล้าย ๆ เรา คล้าย ๆ สิ่งที่เราเป็นมา สิ่งที่เราเคยคิด พอมันเหมือนที่เราคิด เราก็มีกำลังใจในการเดินต่อ ตัวผมก็เดินทางไปเห็นตรงไหนที่เค้ามีนักมวยก็ไปซ้อมที่ค่ายนั้น จนกระทั่งไปซ้อมที่วัดที่เค้ามีค่ายมวยในวัดจนมีวิชาแข็งแกร่งขึ้นมา ก็คล้าย ๆ กับเราพอเปรียบเทียบขึ้นมา ที่เดินทางไปตามที่ต่าง ๆ ตามต่างจังหวัดที่ทำให้เราเรียนรู้วิชาตรงนี้มาได้ ตรงนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งที่สร้างกำลังใจ สร้างประวัติ หรือสร้างความคิดให้เราต้องทำแบบนี้ แสดงแบบนี้ เราต้องมีใจแบบนี้ ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราแสดงเรื่องนี้ได้ด้วยครับ

 

Q : เรื่องราวชีวิตของบัวขาว

A : ก็จะเล่าย่อ ๆ ถึงชีวิตของบัวขาวนะครับ ชีวิตตอนเด็ก ๆ หรือประวัตินายทองดีเท่าที่รู้มาก็จะคล้าย ๆ กันเลยกับประวัติของผม ก็เป็นเด็กบ้านนอก เป็นเด็กชาวบ้านธรรมดา ก็จะมีการซุกซน ตีลังกาเวลาได้ไปเจอสถานที่ที่น่าเล่น แต่พอมาถึงจุดหนึ่งผมได้ไปชมมวยที่เขาชกกันบนเวที ก็เลยเกิดความสนใจขึ้นมาตอนนั้นอายุ 7-8 ขวบได้ ก็ไปเจอเพื่อนรุ่นพี่ขึ้นไปชกบนเวทีก็มีคนเชียร์เขาเป็นร้อย ๆ คนเลย เชียร์เขาเฮฮา ก็เลยสนใจขึ้นมา เราก็น่าจะอยากไปอยู่บนนั้น จริง ๆ แล้วก็ไม่ได้คิดว่า มันน่าจะเจ็บ มันน่าจะอะไรมากมาย คิดแค่ว่าอยากให้คนดูเรามั่ง เชียร์เรามั่ง เราอยากไปซัดบนเวทีมั่ง ก็เลยกลับมาศึกษาด้วยตัวเอง ก็ไปขอเพื่อนรุ่นพี่ซ้อม ไปเตะกระสอบปุ๋ยที่บ้านรุ่นพี่ ก็ไปเตะอยู่พักหนึ่ง เรียนเสร็จก็ถอดเสื้อเหลือแต่กางเกงนักเรียน ก็ไปเตะ เตะไปเรื่อยตามประสาเด็ก ๆ มีอยู่วันหนึ่งก็เผอิญเขาจัดงานวัด ก็มีมวยขึ้นมา เราก็สนใจอยากชกมั่ง ก็ไปเปรียบมวย พอไปเปรียบก็ได้ชกเลย ครั้งนั้นก็เลยเป็นอะไรที่เราฝันอยากจะชกมวยบนเวที โอกาสมาละ พอได้ขึ้นชกครั้งนั้นก็เป็นไปตามที่เราฝันอยากให้คนอื่นได้เชียร์ คนในหมู่บ้านก็ขึ้นรถไปเชียร์กันหมดเลย ครั้งแรกก็เป็นฝ่ายชนะ พอชนะก็ฮึกเหิม มีกำลังใจต่อสู้ จากนั้นมาก็เลยเริ่มศึกษา เริ่มเรียนรู้อะไรมาเรื่อย ๆ จนถึงทุกวันนี้

 

Q : ประหลาดใจมั้ยที่ชีวิตบัวขาวกับทองดีคล้ายกันเลย

A : ประหลาดใจมากครับ พอได้ศึกษาเรียนรู้ประวัติมากขึ้นก็รู้สึกประทับใจ ก็ดีใจกับตัวเองที่ได้รับบทนี้ ได้รับเกียรติเป็นอย่างดีที่ได้มาเล่นเรื่องนี้ ภูมิใจมากครับ อย่างหนึ่งก็คือคล้าย ๆ ชีวิตผมด้วย อีกอย่างก็เป็นประวัติศาสตร์ซึ่งเป็นการต่อสู้เพื่อความถูกต้องอย่างแท้จริง เหมือนเป็นฮีโร่ของชาติ แล้วก็เป็นฮีโร่ของหลาย ๆ คนที่ต่อต้านสิ่งที่ไม่ดีไม่ถูกต้องด้วยครับ

 

Q : ผู้กำกับบอกว่าถ้าเรื่องนี้ไม่ใช่บัวขาวก็จะไม่ทำ บัวขาวรู้สึกยังไงบ้าง

A : บอกตรง ๆ ว่า ผมก็ไม่เข้าใจ ตอนนั้นพี่บิณฑ์เค้าก็ไปคุยกับผู้จัดการก่อนแล้ว ผจก.ก็มาคุยกับผม จริง ๆ ตอนนั้นนั้นผมยังไม่พร้อมเท่าไหร่ ปฏิเสธไปสองสามครั้ง แต่แกก็ยังตื๊อไปหาบ่อยที่ค่าย แกก็บอกว่ามีความฝันว่าต้องเป็นบัวขาว ถ้าไม่เป็นบัวขาวไม่ได้ ผมไม่อยากรับเล่นแล้ว ผมไม่เอาแล้ว ผมจะชกมวย อย่ามายุ่งกับผมเลย ผมพูดตัดไปเลย ไม่อยากจะเล่น ไม่อยากจะรับอะไรอย่างนี้ แกก็ตื๊อขอให้เล่นให้พี่เถอะ พี่อยากจะทำเรื่องนี้จริงๆ สามครั้ง ครั้งที่สี่ผมก็บอกให้เอาบทเอาประวัติอะไรต่าง ๆ มาดู แล้วก็ปรึกษากับทีมงาน ก็เลยลองดู ก็คุยรายละเอียดต่าง ๆ ว่าจะอะไรยังไง ก็เลยรับปากเล่นเรื่องนี้
 

Q : ที่ตอนแรกยังไม่อยากเล่นเพราะว่า…

A : ไม่ใช่เฉพาะพี่บิณฑ์ที่มาถาม เรื่องอื่นก็มาถาม ผมปฏิเสธไปหมดเลยทั้งหนังทั้งละครหลาย ๆ เรื่องก็มา แต่ผมปฏิเสธไปหมดเลย แต่ละเรื่องก็น่าสนใจเหมือนกัน แต่ผมไม่อยากเล่น ผมอยากชกมวย ผมอยากมีอิสระ มีเวลาเป็นของตัวเอง ก็เลยไม่อยากรับ ตอนที่พี่บิณฑ์ติดต่อมาก็ยังไม่กล้ารับปาก เพราะผมไม่ถนัดในเรื่องการแสดงเท่าไหร่ แต่พอได้คุยว่าเป็นหนังอะไร เรื่องราวยังไง ผมก็รู้สึกตื่นเต้นและสนใจมากขึ้น เพราะผมกับทองดีมีส่วนคล้าย ๆ กันทั้งชีวิตส่วนตัว และความรักในเรื่องหมัดมวยด้วย

 

Q : ความท้าทายหรือความน่าสนใจของบทนี้อยู่ที่ตรงไหนบ้าง

A : เรื่องนี้ก็เป็นบทนำเต็มตัวเรื่องแรกของผม ต้องแสดงทั้งเรื่องตามชื่อหนังเลย ต้องแสดงทั้งดราม่าและแอคชั่นด้วย ก็ค่อนข้างหนักในการแสดงเรื่องนี้ครับ ตรงนี้ก็เป็นความท้าทายทั้งบทและการแสดงแบบจริงจังครั้งแรกเลย

ในส่วนตัวผมคิดว่าความน่าสนใจของบทนี้อยู่ที่แง่คิด อยู่ที่การแสดงออก การยึดมั่นอยู่กับความมุ่งมั่นของตัวเราเอง การที่เรามีความมุ่งมั่นในตัวของเราว่าเราจะแสวงหาอะไรจนได้ดี จนทำให้ทุกคนรู้จัก นับถือ นี่คือจุดสำคัญ เป็นข้อคิดโดยตรงที่ถูกต้องมาก เพราะว่ามันมีในตัวของมัน มีความอิสระ ไม่เคยทำให้ใครเดือดร้อน ทำให้คนเชื่อใจ และให้เห็นว่าเขามีความสามารถโดยที่เขาต้องเรียนรู้ด้วยตัวเอง ศึกษาด้วยตัวเองจนทำให้ตัวเองเก่ง และก็มีคนนับถือเขา เขาเป็นคนที่ล้มได้ แต่ไม่เคยคิดจะยอมแพ้ใคร ไม่เคยคิดย่อท้อว่ากูแพ้แล้วแพ้เลย แพ้วันนี้แต่วันข้างหน้าเค้าก็หาวิธีลุกขึ้นมาใหม่ที่จะชนะให้ได้

 

Q : การเป็นนักมวยที่ต่อยบนสังเวียนปกติกับนักมวยที่ต่อยในหนัง มีความยากง่ายแตกต่างกันยังไง

A : จริงๆ มันก็คล้าย ๆ กัน แต่มวยที่ต่อยประจำที่เราทำมาหากินซึ่งเป็นอาชีพของเรา ต่อยแล้วมันมีกติกา มีกรรมการ มีเทคนิคเข้ามาช่วยแต่ละการชก แต่ในหนังอาจจะเป็นมวยเถื่อน ๆ ต่อยกันสะเปะสะปะ ซัดกันโดยที่ไม่มีหลักการอะไรมาก ใครที่ไม่ไหวก็แพ้ไปเลย ไม่รู้สมัยนั้นเค้าเรียกว่ามวยไทยหรือเปล่า อาจจะเรียกต่อยกัน ชกกัน หรือว่าประลองกัน เฮ้ย ! อยากประลองกำลังกัน อาจจะเป็นไปได้ ก็ซัดกันตามหลักความรู้ของสมัยนั้นไป ก็มีท่าฟาดหางจระเข้ ศอกกลับ ลอยเข่า ได้หมดก็คือเอามาประยุกต์ได้

สำหรับผมที่เคยผ่านกล้องทีวีกล้องถ่ายรูปอะไรต่ออะไรมา โดนสัมภาษณ์อะไรมาเยอะแยะ มันอาจจะชินตรงนั้น อาจมีประสบการณ์ที่ต้องเรียนรู้ คิดว่าเพื่อนๆคนอื่นอาจจะเกร็ง หรืออาจจะยาก แต่ว่ายังไงถึงแม้ผ่านมาหลายครั้งแต่ผมก็คิดว่ามันยังยากอยู่ดีในเรื่องของการแสดงที่จะต้องมายืนอยู่หน้ากล้อง ออกคำพูด หรือออกการแสดงอะไรต่าง ๆ ผมคิดว่ามันก็ยากครับ บางครั้งบางคราวพอเริ่มต้นเราก็เกร็งเลย พูดอย่างไม่มีหลักการ เฮ้ย ขนาดพูดใกล้ ๆ ยังตะโกนใส่กัน มันก็ไม่ถูกต้อง แต่พอเราได้มาเรียนรู้ เราก็ได้ศึกษาไปในตัวด้วยว่า เราก็น่าจะพูดแบบนี้ พอหลัง ๆ มาเรื่อย ๆ เริ่มดีขึ้นจนผู้กำกับบอกเอ็งไปทำอะไรมาถึงมีความคล่องตัว ทั้งทีมก็เห็นว่ามันดีขึ้นจากใหม่ ๆ เลยแหละ ดีขึ้นมาก จนทำให้มีความเป็นมือโปรมากขึ้น

 

img_1390_resize

 

Q : แล้วบัวขาวแอบไปทำอะไรมา

A : แอบมั้ย จริง ๆ ก็แอบ พอแสดงไปปุ๊บ เราก็มาขอดูในมอนิเตอร์ที่เราเล่นไป การพูด สีหน้า หรือการยิ้ม หรือขรึม อะไรต่าง ๆ น่าจะออกสไตล์ไหน เราก็เริ่มศึกษา ๆ จนทำให้เราเป็นที่พอใจของผู้กำกับ หรือกลับไปที่ค่ายมวยก็ได้ฝึกซ้อมบทและการแสดงด้วย ในเชิงนี้เราต้องแสดงออกแบบไหน ซึ่งตัวผมก็เป็นคนกล้าแสดงออกอยู่แล้ว พอเรากล้าแสดงออกปุ๊บ มันก็เกิดเป็นผลดีกับเรา มันก็สามารถปรับเปลี่ยนบุคลิก ทัศนะต่าง ๆ ทำให้เข้ากับตัวเรื่องได้ดีขึ้นครับ

 

Q : ฉากแอคชั่นไฮไลต์ในเรื่องนี้มีหลากหลายฉากมาก

A : ครับ แอคชั่นกันแทบทั้งเรื่องเลยครับ ผมเล่นเรื่องนี้ก็ได้ออกลีลาแอคชั่นมากกว่าต่อยมวยปกติหลายเท่าเลยครับ เหนื่อยแต่ว่าสนุกทุกฉาก มันเข้าทางผมที่ชอบเรื่องเตะต่อยอยู่แล้วด้วยครับ

ฉากแรกที่อยากพูดถึงก็คือ “มวยข้างถนน” พอเราได้เดินทางไปเรื่อย ๆ ก็อาจจะไปเจอมวยข้างวัดข้างถนนที่ในหมู่บ้านหรือในชุมชน มีเจ้าถิ่นซึ่งเป็นมวย มีการพนันเกิดขึ้นใครชนะใครแพ้ มีการต่อรอง เราก็ไปสู้เพราะอยากต่อยมวย พูดง่าย ๆ ว่าต่อยมวยข้างทางไปเรื่อย ๆ เจอที่ไหนก็ต่อยกันที่นั่น เจอที่เล้าหมูก็ต่อยที่เล้าหมู ชกไปเรื่อย ๆ เป็นการหาเลี้ยงตัวเองไปด้วย หาเช้ากินค่ำ หาข้าวหาปลากินไป ฉากมวยข้างถนนมันจะมีความสมจริง เป็นครั้งแรกของผมเลยกับสังเวียนที่เต็มไปด้วยหมูและสายฝน ในเล้าหมูนี่จะยากเพราะมีหมูวิ่งอยู่ตลอดเวลา โดนเตะต่อยล้มก็ทับหมู ทับขี้หมูเยี่ยวหมู เละเทะครับวันนั้น แต่ก็ต้องเล่นให้สมจริง เพราะมันเป็นเล้าหมูจริง ๆ มีทั้งขี้หมูลูกหมู รู้สึกว่าเป็นอะไรที่ต้องลงทุนลงแรงมาก ก็ต่อยเลย ไม่มีเตี๊ยม ไม่รู้จะเตี๊ยมยังไง เราสไตล์นักสู้อยู่แล้ว เราต่างคนต่างมีสไตล์มีศิลปะของตัวเอง ก็สู้เต็มที่ทั้งถีบทั้งต่อย แต่ว่าอาจจะมีพลาดโดนมั่ง โดนไม้ทิ่ม โดนต่อยหน้า มีการเตะเบิ้ลเข่า ก็ตามสไตล์มวยของเราอยู่แล้วพอเราชกตามเล้าหมู ริมแม่น้ำไปเรื่อย ๆ วันหนึ่งอาจจะชกหลาย ๆ ครั้ง หลาย ๆ ที่ ไปเรื่อย ๆ จนฝนตกก็ยังซัดกัน กลางสายฝนซัดกันแบบเอาเป็นเอาตาย คือใครแข็งแกร่ง คนนั้นก็ชนะไป ทุกคนต้องต่อยกันหมด ในวันนั้นก็ไปเจอฉากชกกันกลางสายฝน ซัดกันจนหมดแรงไปข้างหนึ่ง หมดเรี่ยวหมดแรง ยังยืนหลับหูหลับตาจ้วงกันใส่กันจนได้ชัยชนะ เบื้องหลังการถ่ายมันต้องยากอยู่แล้วครับ การแอคติ้ง ลีลาแอคชั่น ต้องถ่ายหลายครั้งหลายเทกหลายมุมกล้อง ไม่ใช่แค่ทำแค่นี้เสร็จได้ แต่ต้องมาข้างหลังมาข้างหน้ามายาวมาสั้น รู้สึกว่ามันต้องทำให้สมจริงตลอดนะครับ รู้สึกว่ามันก็ยากพอสมควรเลยครับ


Q : ฉากไฮไลต์ “บัวขาวเล่นกับม้า โดนม้าลาก” ครั้งแรกในชีวิต

A : ไฮไลต์ต่อมาก็จะเป็น “ฉากบ้านครูเที่ยง” ฉากนี้ต้องเจอทั้งกับไฟ การสู้กับม้า และการถูกมัดลากไปบนดินอย่างทะลักทุเลมากครับ ฉากบ้านครูเที่ยงที่ทองดีไปขอพักอาศัยอยู่ด้วย ไปเรียนมวยที่นั่นด้วย แต่พอ “เชิด” คู่อริรู้ว่าทองดีอยู่ที่นั่นก็เลยพาทหารมาทำร้ายอีกเช่นเดิม สำหรับทองดีก็ยอมโดนจับเพื่อให้คนในหมู่บ้านนั้นรอด ไม่ต้องมาเดือดร้อนแทนทองดี แต่เชิดกับทหารยังไม่ยอมจบ ยังมีการทำร้ายชาวบ้าน เผาหมู่บ้านอีก ก็เลยเกิดการต่อสู้ ปะทะยิ่งใหญ่เกิดขึ้นมา ทองดีโดนจับมัดมือโดนม้าลากไปกับพื้นทราย ฉากแอคชั่นฉากนี้ถ่ายกันยาวนานมาก ถ่ายกันได้แผล ได้เลือด ได้เหงื่อ ได้ไฟลวกกันมันเละเทะ ตั้งแต่ดูหนังดูอะไรมาก็เพิ่งโดนกับตัวเองวันนี้ เพิ่งได้ปะทะ ได้เผชิญกับตัวเองว่าฉากแบบนี้มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ มันต้องใช้ระยะเวลา มันต้องได้จริงๆ พอเสร็จก็รู้สึกว่ามันคุ้มค่ากับที่เราลงทุน เราก็ตั้งใจทำจริงและเล่นจริง ก็คิดว่าฉากนี้ก็จะเป็นฉากที่จะได้จดจำไว้ว่า หนังมันก็ไม่เบาเลย พอเห็นภาพที่ตัดออกมาให้คนดูได้สนุกได้ตื้นเต้น เราก็รู้สึกดีนะครับ จริงๆการต่อยมวยมันก็แค่เจ็บแค่ช้ำ โดนเตะโดนศอกโดนหมัดธรรมดา แต่พอมาเล่นหนัง การเข้าฉากก็อาจมีการพลาด การต้องลงทุนต้องเล่นสมจริง การโดนลากกับพื้น โดนม้าถีบ กระโดดตกม้าต่างๆ โดนเสียดสี รู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่แตกต่างกับการชกมวยอย่างสิ้นเชิง แต่มันก็รู้สึกคุ้มค่ากับการที่เราได้ลงทุนลงแรงแสดงสุดความตั้งใจ และความสามารถในการเล่นเรื่องนี้ครับ

 

Q : ต้องไปเรียนขี่ม้าด้วย

A : บอกตรง ๆ ว่าตั้งแต่เกิดมา เพิ่งได้จับม้าเป็นครั้งแรก ควบม้าด้วยตัวเอง ครูก็สอนขี่ม้าครึ่งวัน แล้ววันรุ่งขึ้นก็ไปถ่าย ตอนขึ้นม้าตัวเองก็คิดว่ามันจะเป็นยังไง เหมือนรถมั้ย พอขึ้นจริง ๆ ก็ทำให้เราเกร็งเหมือนกัน เพราะว่าจริง ๆ ใจเราแข็งแรงอยู่แล้ว บุคลิกร่างกายเราโอเค เป็นคนที่บู๊ได้ แต่พอขึ้นม้าจริง ๆ ก็ไม่รู้จะไปอีท่าไหนเหมือนกัน แต่ครูเค้าก็สอนว่าต้องบิดซ้ายบิดขวาอย่างนั้นอย่างนี้ ตอนต้น ๆ ก็อาจจะเกร็ง ต้องใช้เวลานิดนึงก็รู้สึกว่าเข้ากับม้าได้แล้ว พอหลัง ๆ มาก็ชิน ก็ยกล้อเลย ทำให้ม้ายกขา ทำให้ม้าล้ม ทำให้ม้ากระโดดได้ ก็ทำให้ได้เรียนรู้ภายในตัวว่าอย่างน้อยเราก็ขี่ม้าได้ควบม้าเป็น ก็เป็นอะไรที่คุ้มค่าที่ได้มาเล่น เพราะเราก็ได้อีกวิชาหนึ่งติดตัวไป

 

Q : ไฮไลต์ “ฉากเปรียบมวย”

A : ฉากนี้เป็นฉากไคล์แมกซ์ของเรื่องเลยครับ เป็นสนามประลองมวยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่จัดขึ้นหน้าพระที่นั่งพระเจ้าตาก เพื่อหานักมวยที่แข็งแกร่งที่สุด มียอดฝีมือทางมวยทุกที่มารวมตัวกันเพื่อประชันความสามารถกันอย่างล้นสนาม บอกตรง ๆ ว่าฉากเปรียบมวยนี้ โอ้โห…ไม่รู้ว่าจะดำยังไง เรียกว่าไหม้เลยดีกว่า วันนั้นถ่ายกันทั้งวันที่กาญจนบุรี กลางเขาแบบว่าร้อนเปรี้ยง เดือนเมษา-พฤษภาก่อนหน้าฝนมันจะร้อนอยู่แล้ว ไม่รู้จะเอาอะไรมาร้อนนะครับ ต้นไม้หลบร่มก็ไม่ค่อยมี เขาก็ทำฉากใหญ่เป็นไม้ล้อมหมดเลย ไม่มีอะไรบัง เป็นกลางลานที่เราต้องมาประลองต่อยมวยกันที่นั่น รู้สึกว่ามันต้องใช้คนเยอะ แล้วก็ใช้ม้า ใช้แอคติ้ง ท่ามวยแต่ละอย่าง มีการไหว้ครูที่เราก็ต้องเคารพพระเจ้าตาก แล้วก็มีฉากซับซ้อน วันนั้นทั้งวัน บางคนยืนจนเท้าพอง ต้องเอาให้เสร็จให้ได้วันนั้น ผมก็ประทับใจที่ทำได้เสร็จในวันนั้น เห็นความทุ่มเทของทุกคนทั้งนักแสดง ทีมงานทุกฝ่าย หรือแม้กระทั่งเอ็กซ์ตร้าที่มาฉากยืนล้อมดู ยืนตบมือ ยืนร้องเชียร์ ก็รู้สึกว่าเค้ามีความร่วมมือให้เป็นอย่างดีเลยครับ ยิ่งใหญ่มากครับฉากนี้ ต้องไปดูกัน


 
Q : การร่วมงานกับพี่บิณฑ์

A : การทำงานกับพี่บิณฑ์กับคนในกองก็เป็นกันเองมากครับ ทีมช่างกล้องหรือทีมอะไรต่าง ๆ ผมแกล้งหมด ถามได้เลย ยันผู้กำกับ ผู้ช่วย ผมแกล้งหมด คืออยากให้เค้าสนุกในการทำงาน ใครโมโหผมก็แกล้งคนนั้นแหละ อยากให้กระตือรือร้น ซึ่งทุกคนก็ทำงานกันเต็มที่ อย่างเช่น ทีมสตั๊นต์ ทีมม้า ทีมอะไรต่าง ๆ เค้าก็มีความชำนาญเป็นมือโปรทีเดียว ก็รู้สึกว่าเป็นหนึ่งในผู้กำกับที่มีความคิดสร้างสรรค์ มีการแสดงออกที่ดี ที่ไปแกล้ง ๆ เค้าเนี่ย เพราะอยากสร้างความเป็นกันเองมากขึ้น เพราะการทำงาน เราเป็นตัวเอกอยู่แล้ว ทุกคนต้องคุยกับเรา แนะนำเราหลาย ๆ เรื่อง ก็ต้องคุยกันทุกคนครับ

 

Q : การร่วมงานกับ “น้องมะนาว” ที่ถือว่าเป็นนางเอกคนแรกของบัวขาว

A : อันนี้จริง ๆ แล้วก็ไม่ค่อยสะใจเท่าไหร่ เพราะไม่ค่อยได้เข้าฉากอะไรกันมากมาย น่าจะมีเยอะกว่านี้ (หัวเราะ) แต่ก็โอเคครับ ได้มาประกบคู่กับน้องมะนาว น้องเค้าก็เป็นเด็กแก่น ๆ น่ารัก ก็งามอยู่ เป็นนางเอกที่เล่นด้วยแล้วสนุก ก็โดนผมแกล้งเหมือนกัน แกล้งจนสนิท การพูดคุยก็เหมือนรู้จักกันมานาน ก็รู้สึกว่าการทำงานกับนักแสดงทุกคนไปด้วยกันได้ดี เพราะทุกคนรู้จักกันหมด จะทำอะไรกัน จะหยอกล้ออะไรกันก็เป็นกันเอง การถ่ายทำก็รวดเร็วกันดี ใหม่ ๆ ก็อาจมีเขินครับ แต่หลัง ๆ ก็ไม่มีปัญหาแล้วครับ

 

Q : ความน่าสนใจและความโดดเด่นของเรื่องนี้

A : ความน่าสนใจของเรื่อง “ทองดีฟันขาว” นี้ก็จะได้รู้ถึงประวัติและชีวิตของทองดีกับการเดินทางสู่ความฝันสูงสุดทางมวยของเขา ได้เห็นชีวิตของนักสู้คนหนึ่งที่มีความเชื่อมั่น มุ่งมั่น ไม่ย่อท้อต่อความยากลำบากในสิ่งที่ตัวเองรักและหลงใหลอย่างเรื่องการชกมวย เราจะได้เห็นการเรียนรู้ การฝึกฝน ที่ทำให้เรารู้ว่าถ้าเรามีความตั้งใจ มีความชนะใจตัวเอง มีความุมานะ ไม่ว่ายังไงเราก็จะพยายามข้ามผ่านอุปสรรคเพื่อไปให้ถึงเป้าหมายสูงสุดให้จงได้ รวมถึงยังได้เห็นมิตรภาพและความรักของกลุ่มเพื่อน ครูและลูกศิษย์ ได้เห็นความกล้าหาญต้นกำเนิดของวีรบุรุษไทยที่น่าจะเอาเยี่ยงอย่าง เรื่องราวเหล่านี้ในเรื่องจะทำให้ทุกคนชอบได้อย่างแน่นอน ผมคิดว่าการต่อสู้เอาชนะแต่ละอย่างก็จะเป็นความบันเทิงที่ทุกคนจะได้รับ ได้เห็นฉากแอคชั่นที่มากกว่าบนเวทีมวย การทำอะไรทำจริงทำเองหมดเลย อยากให้รู้ว่านอกจากชกมวยแล้ว บัวขาวจะมีความสามารถแค่ไหน จะแสดงได้แค่ไหน ก็อยากให้ทุกคนมาดู แน่นอนครับ คือทุกอย่างที่ทำก็อยากให้ออกมาดี  อยากให้ทุกคนได้รับชมว่าเป็นมืออาชีพจริง ๆ ในเรื่องนี้ทั้งผม ผู้กำกับ นักแสดง และทีมงานทุกคนก็ตั้งใจเต็มที่ อยากจะให้คนที่มาดูได้ทั้งความสนุกของหนังและเอกลักษณ์ของมวยไทย ได้ทั้งข้อคิดที่นำไปใช้ในชีวิตจริง ๆ ได้ครับ


เซียวเหล่งนึ่งฯ  นายพนมกร คำวัง (ตู่)
โทร 094-3619414, 086-4025293
อีเมล์: tuu414@scryptmail.com
Line: Touu-panomkornsmfjusthost@gmail.com
ชื่อบัญชี : นายพนมกร คำวัง
ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาบิ๊กซีนครปฐม ออมทรัพย์ เลขบัญชี : 830-209795-5   
ธนาคารกรุงเทพ สาขาโลตัสนครปฐม ออมทรัพย์ เลขบัญชี : 637-001757-