ผู้เขียน หัวข้อ: เด็ก:ที่จะไม่ยอมผิดหวัง 14 มกราคม 2560  (อ่าน 134 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มนัส กิ่งจันทร์

  • มนัส กิ่งจันทร์ ภาคสอง ชุมทางหนังไทยในอดีต
  • Moderator
  • พี่น้อง thaicine Gold member
  • ***
  • กระทู้: 2815
  • พลังใจที่มี 35
  • เพศ: ชาย
    • มนัส ชุมทางหนังไทยในอดีต
14 มกราคม 2560

เด็ก:ที่จะไม่ยอมผิดหวัง
สมัยเป็นเด็กๆ มีหลายเรื่องที่วันนี้ก็ยังอยู่ในความทรงจำ.. แต่ที่จำและคิดว่า ต่อไปเด็กอย่างเราจะต้องไม่ผิดหวังอีกก็คือเรื่องการดูหนัง..

         อะไรเป็นความผิดหวังที่ฝังใจเด็กอย่างผม.. ตอนนั้นผมยังเรียนชั้นประถมอยู่ จู่ๆ วันหนึ่งก็มีหนังกลางแปลงมาตั้งจอฉายที่บริเวณหลังบ้านผม..ความที่เป็นคนชอบดูหนังกลางแปลงมากๆ ก็ทำเอาตื่นเต้น อยู่ไม่เป็นสุขแล้ว ก็ต้องวิ่งป้วนเปี้ยนไปแถวๆ ที่เขากำลังจะตั้งจอหนังตลอด ยิ่งรู้ว่าเป็นจอของบริการเหรียญชัยภาพยนตร์ซึ่งสมัยนั้นเจ้านี้เขาโด่งดังมากๆ ในเมืองสุรินทร์และก็ยังมาฉายใกล้ๆ บ้านผมด้วย ก็ยิ่งดีใจ..ฉายใกล้ๆ ขนาดที่ว่า เขาเอาเชือกมัดเสาจอหนังมาผูกที่เสาเรือนบ้านผมนั่นแหละ.. ผมก็ไปวิ่งกระโดดโลดเต้น ไปเล่นไอ้มดแดงบ้าง หน้ากากเสือบ้างกับเด็กๆ ที่เป็นเพื่อนกัน..กระทั่งพี่สาวเดินมาตาม บอกว่าให้ไปอาบน้ำ กินข้าวเย็นนั่นแหละจึงผละจากจอหนังกลับบ้าน..

         พอกินข้าวเย็นเสร็จ..เสียงเพลงจากจอหนังก็เปิดดังสนั่น (สมัยก่อนมีแค่ลำโพงฮอน ยังไม่ตู้ลำโพงสเตอริโอ) ผมก็จะวิ่งไปที่จอหนัง แต่พวกผู้ใหญ่ที่เป็นเพื่อนๆ ของพ่อแม่ก็บอกว่า จอหนังมันไม่หนีไปไหนหรอก ยังไงก็ได้ดู เขาฉายกันโต้รุ่ง (5 เรื่อง) ว่าแต่เอ็งจะมีแรงดูหมดหรือ 5 เรื่อง..ผมก็ตอบว่า มี..แต่เพื่อนพ่อก็พูดต่ออีกว่า ถ้าเอ็งอยากจะดูหนังให้หมด เองก็ต้องนอนพักเอาแรงไว้ก่อน ไม่งั้นไปดูหนัง เอ็งก็จะหลับคาจอ... ผมก็เลยนอนเล่นๆ ที่ระเบียบบ้าน..แต่ความที่เล่นมาแต่หัววัน พอกินข้าวอิ่มๆ ผมก็เผลอหลับไป..

         ผมมาสะดุ้งตื่นอีกทีก็เกือบสว่างแล้ว..ตัวเองนอนอยู่ในมุ้ง..เสียงหนังก็ยังดังอยู่หลังบ้าน ผมรีบวิ่งออกไปที่จอหนัง..ก็เห็นฉากที่นางเอกยิงพระเอกของเรื่อง..แล้วก็มีเพลงร้องว่า ไม่มีสวรรค์สำหรับคุณ สำหรับคุณ สวรรค์ไม่มี มีเพลิงในอเวจี มีแต่ไฟเผาไหม้ฤดี สวรรค์ไม่มีสำหรับคุณ.. สว่างแล้ว หนังจบ 5 เรื่องแล้วครับ.. ผมเสียใจมากๆ ที่ไม่ได้ดูหนังคืนนั้น..ถึงกับเดินร้องไห้กลับบ้าน ไปโวยวายกับพี่สาวที่ไม่ยอมปลุกให้ลุกขึ้นไปดูหนัง..นั่นคือ ความผิดหวังกับหนังครั้งแรกๆ ที่จำได้และจากผมก็ตั้งปณิธานเอาไว้ว่า เรื่องดูหนัง ผมต้องคิดเอง จะไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก..ต่อมาตอนที่ผมไปเก็บเศษฟิล์มที่บริการหนังเหรียญชัยภาพยนตร์จึงรู้ว่าหนังเรื่องสุดท้ายคืนนั้นชื่อว่า ไม่มีสวรรค์สำหรับคุณ

         ต่อมาชื่อ “ไม่มีสวรรค์สำหรับคุณ” ก็ผ่านเข้ามาในชีวิตผมอีกครั้งเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2542 ตอนนั้นผมรู้จักกับคุณโต๊ะพันธมิตรใหม่ๆ เขาก็ชวนผมไปหาฟิล์มหนังไทยเก่าๆ ตามจังหวัด วันนั้นเราไปโคราชกันและได้ฟิล์มหนังมิตรเรื่อง กังหันสวาท กลับมา..แต่ตอนที่ลูกชายเจ้าของฟิล์มหนังไปเปิดตึกแถวที่เป็นโกดังเก็บฟิล์มนั้น ในตึกแถวก็มีแต่ฟิล์มเต็มบ้าน..เขาบอกว่าขายฟิล์มแพงมากๆ ผมก็เลยจดแต่รายชื่อหนังสำคัญที่หายากไว้ หนึ่งในนั้นก็มีเรื่อง ไม่มีสวรรค์สำหรับคุณ รวมอยู่ด้วย ผมอยากจะดูหนังเรื่องนี้เพื่อชดเชยความผิดหวังในวัยเด็กๆ แต่ก็ไม่มีเงินซื้อฟิล์มหนังกลับมา..คุณโต๊ะเองก็ดูเหมือนจะรู้ใจผม ก็บอกผมว่า มนัสซื้อไปแล้ว จะไปฉายยังไง เครื่องฉาย 35 มม.ก็ไม่มี (ตอนนั้นผมมีแต่เครื่องฉาย 16 มม.) กระนั้นความที่อยากดูและคิดว่า ถ้าเราทำไม่ได้ ก็ต้องคนช่วยทำ..ก็นำรายชื่อหนังทั้งหมดประมาณ 50-60 เรื่องไปบอกข่าวแก่หอภาพยนตร์ฯ เผื่อว่าเขาจะไปตามกลับมาให้เราดู แต่ก็ผิดหวัง..ผมบอกข่าวไปยังคนทำธุรกิจซื้อขายหนังไทยเก่าๆ เขาก็ไม่ไปเอาฟิล์มเพราะมันเป็นแค่กากฟิล์ม..ผมจึงผิดหวังอีกเป็นครั้งที่ 2 แหละครั้งนี้เองทำได้ให้คิดว่า หาเราจะหาหนังไทยเก่าๆ เราทำคนเดียวไม่ได้ เราต้องมีเงิน..และเราต้องมีเพื่อนๆ มาช่วย..

         อย่างเรื่อง เก้าล้านหยดน้ำตา นี้ ฟิล์มก็เคยผ่านตาผมมาเมื่อประมาณ 15 ปีที่แล้ว ตอนนั้น แม้ผมจะเริ่มมีเพื่อน ๆ ช่วยกันบ้างแล้ว แต่เราก็ยังลำบากเรื่องเงินทอง.. วันนั้นหนังกรุนี้เข้ามาเป็นสิบๆ เรื่อง ผมกับเพื่อนลงความเห็นว่า ให้ซื้อเรื่อง เกวียนหัก ไว้ก่อนเพราะเป็นหนังที่หาได้ดูยาก ส่วนเรื่องเก้าล้านหยดน้ำตา จะเอาข่าวไปบอกเฮียหลอผู้สร้างหนังเรื่องนี้แทนเผื่อเขาจะซื้อไว้..คืนนั้นเราจึงร่วมหุ้นกัน 3 คนซื้อฟิล์มเกวียนหักกลับบ้าน..ส่วนฟิล์มเก้าล้านฯนั้น ทราบว่ามีการขายออกไปแล้วและสุดท้ายก็มาตกอยู่กับคุณประวิชณ์..

         เวลาผ่านไป..ผมก็เริ่มมีเพื่อนๆ เข้ามาช่วยกันตามหาฟิล์มหนังมากขึ้น..แต่หัวหอกสำคัญ 2 คนที่เป็นเรี่ยวแรงและเป็นกองกำลังอย่างดีให้ก็คือ คุณนุกับคุณจุ๊บ..บอกตรงๆ ว่า ถ้าผมไม่มีสองคนนี้ช่วย ผมก็คงมาไม่ถึงจุดนี้หรอกครับ..ผมเองเป็นคนทำอะไรช้าโดยเฉพาะเรื่องการซื้อขาย ก็จะคิดช้ามากๆ แต่สองคนนี้เขาตัดสินใจรวดเร็ว เรียกว่า บ้า กล้าลงทุนก็ได้ อย่างคุณนุนั้น เขาเห็นผมทำโครงการหนังไทยคงเหลือ ฉายกันง่ายๆ ทำแบบบ้านๆ เอาแค่มองเห็นภาพก็พอ เขาก็บอกว่า ทำไม ไม่ทำให้มันดีๆ ชัดๆ แบบ HD ไปเลย ผมก็บอกว่า ไม่มีสตางค์ซื้อเครื่อง..แค่นั้นเอง คุณนุก็ลงทุนเอาเงินโบนัสไปซื้อหาอุปกรณ์เครื่องฉายมาช่วยทำให้จนผมเกรงใจและต้องบอกข่าวเรี่ยไรไปยังเพื่อนๆ ให้ช่วยกันนั่นแหละ.. ส่วนคุณจุ๊บก็ลงทุนซื้อเครื่องเทเลซีน 16 มม.มาให้ผมใช้อีก..แค่นี้ยังไม่พอ พอเรามีเครื่องไม้เครื่องมือพร้อม สองคนนี้ก็ขยันตามหาฟิล์มหนังเก่าๆ มาให้ฉายเรื่อยๆ อย่างกรุโรงหนังเฉลิมเอก ร้อยเอ็ดนั้น ถ้าไม่ได้ลูกยุจากคุณนุ เราก็คงไม่ได้เดินทางไปหรอก..หรืออย่างฟิล์มเก้าล้านฯ นี้ ถ้าคุณนุไม่เป็นอัศวินขี่ม้าขาวเข้ามา เรื่องก็คงไม่สำเร็จง่ายๆ ผมถึงว่าสองคนนี้บ้ากล้าลงทุนจริงๆ

         มาถึงวัน “ไม้ใกล้ฝั่ง” อุดมการณ์เกี่ยวกับหนังก็ยังเหมือนเดิม จึงทำให้คิดได้ว่า เราควรจะมีเพื่อนแบบไหน ชีวิตถึงจะมีความสุข..ทุกครั้งที่เราออกไปหาฟิล์มหนังก็เหมือนเราไปสวรรค์.. สวรรค์ในโลกของเรา.. เราอาจจะตกสวรรค์บ้างเมื่อไม่ได้ฟิล์มกลับมา แต่เราก็ได้เห็นน้ำใจเพื่อนๆ ที่ช่วยกันเสมอไม่ว่าจะเป็นเพื่อนหญิงหรือเพื่อนชายที่ดูจริงจังกับอุดมการณ์ของเรา..หนังที่เราหามาได้ เรารัก เราหวงทุกเรื่อง..แต่ถ้ารู้ว่าเพื่อนๆ อยากจะดู เราก็จะหาทางฉายให้เพื่อนๆ ได้ดู..เพราะเราถือว่า หนังมีไว้ฉาย..ไม่ใช่มีไว้เก็บ.. เราเปิดประตูสวรรค์รอรับเพื่อนๆ ทุกคนอยู่แล้วเพราะเราไม่อยากจะให้ใครผิดหวังเหมือนอย่างเราตอนเด็กๆ อีก..


"มนัส กิ่งจันทร์ ภาคสอง ชุมทางหนังไทยในอดีต" โดยเติมคำว่า "ภาคสอง" คั่นกลางไว้..
อดีตจากฟิล์มภาพยนตร์ ไม่มีวันตาย..