Marvel Cinematic Universe บทที่ 1 ปฐมบทแห่งมณีพลัง
ผู้เขียน : หลวงจีนหอไตร Spoiler Alert !! แจ้งเตือนการสปอยล์ !! บทความนี้ คือการเปิดเผยเนื้อหาในภาพยนตร์ทุกเรื่องของ MCU ตั้งแต่ปี 2008 จนถึงปี 2019 เลยนะครับ (แน่นอนว่าสปอยล์เรื่องกัปตันมาร์เวลด้วยครับ) ก่อนกาลก่อเกิดสรรพสิ่ง.. มีเอกภาวะอยู่ 6 ชนิด หลังการระเบิดของเอกภาวะ จักรวาลก็อุบัติขึ้น เศษชิ้นส่วนของเอกภาวะชนิดต่างๆ กลับมาหลอมรวมอัดกัน กำเนิดเป็นอัญมณีหนาแน่นสูง 6 ชิ้น เรียกขานว่า อินฟินีตี้สโตน (Infinity Stone) อัญมณีพลังทั้ง 6 มีดังนี้..(Reality Stone=เปลี่ยนแปลงความจริง)
(Mind Stone=ควบคุมจิตใจ)
(Space Stone=ย้ายมวลสาร)
(Power Stone=ทำลายล้าง)
(Soul Stone=ควบคุมความตาย)
(Time Stone=ควบคุมมิติเวลา)
Cosmic Entities หรือ สี่สมดุลย์แห่งจักรวาล ประกอบไปด้วย Death (เดธ) / Eternity อีเทอร์นิตี้ / Entropy (เอ็นทรอฟี่) / และ Infinity (อินฟินิตี้) คือ มหาเทพคอสมิคบีอิ้ง 4 ตัวตนที่จุติมาพร้อมๆกับจักรวาลเช่นกัน
อินฟินิตี้สโตน (Guardians of the Galaxy Vol.1) สี่สมดุลย์ ทำการเจียระไนอินฟินิตี้สโตนให้เป็นลักษณะต่างๆ ตามความสามารถของมัน และส่งให้อัญมณีพลังทั้งหมดนั้น กระจัดกระจายไปทั่วทั้งจักรวาล..
หลังกำเนิดจักรวาลเพียงไม่นาน.. เซเลสเทียล (Celestials) หรือ เผ่าพันธุ์มหาเทพเจ้าผู้มีนามว่า อีโก้ (Ego) ก็จุติขึ้น โดยปรากฎเป็นสมองไฟฟ้าขนาดมหึมาลอยเคว้งคว้างกลางอวกาศเนิ่นนานหลายล้านปี
ร่างต้นอีโก้ (Guardians of the Galaxy Vol.2) หลังจากที่อีโก้เฝ้าสังเกตุดวงดาวรอบตัวมานาน อีโก้จึงเริ่มดูดอนุภาครอบตัวมาครอบสมองตนเองสะสมเรื่อยๆ ผ่านกาลเวลามาเนิ่นนาน จนกระทั่งกำเนิดเป็นดาวเคราะห์ดวงมหึมา อีโก้ จึงกลายเป็นดวงดาวที่มีชีวิต (Ego The living Planet)ผ่านมาอีกนานแสนนานหลังกำเนิดจักรวาล.. ก่อนการกำเนิดแห่งแสงสว่างในจักรวาล ตอนที่จักรวาลยังคงมีแต่ความมืดมิด และจากความมืดมิด ก็ให้กำเนิด ดาร์คเอลฟ์ (Dark Elf) บนดาวสวาทาลฟ์ไฮม์ 1 ใน 9 อาณาจักรแห่งอิกดราซิล
ดาร์คเอลฟ์ (Thor:2 The Dark World) ดาร์คเอลฟ์ ล่วงรู้ถึงตำนานของ เรียลลิตี้สโตน ที่มีพลังเปลี่ยนแปลงความจริง เหล่าดาร์คเอลฟ์จึงเสาะแสวงหาเรียลลิตี้สโตนไปทั่วจักรวาลเรื่อยมา เพราะดาร์คเอลฟ์ต้องการให้จักรวาลกลับมามืดมิดเช่นเดิม..อีกมุมหนึ่งของจักรวาล.. หนึ่งในคอสมิคบีอิ้ง นามว่า Eson "The Searcher" ผู้มีหน้าที่สรรสร้างและทำลายล้างอารยธรรมต่างๆ อีสัน ใช้คฑาที่มีพาวเวอร์สโตน สัมผัสพื้นผิวดาวที่เคราะห์ร้ายดวงหนึ่ง เพียงไม่กี่อึดใจ ดาวทั้งดวงก็ระเบิดเป็นจุล
อีสัน เดอะเซิร์ซเชอร์ (Guardians of the Galaxy Vol.1) หลังจากนั้นอีกแสนนาน.. พาวเวอร์สโตนบนยอดคฑาอีสัน ก็มาบรรจุอยู่ใน Orb และถูกซ่อนไว้ในวิหารบนดวงดาวโมแร็ก (Morag) ที่มีอารยธรรมสูงล้ำ
เหล่านักบวชชาวโมแร็ก ดูเหมือนจะรับรู้ถึงตำนานของอินฟินิตี้สโตน จึงทำการจารึกไว้บนผนังในวิหารที่เก็บพาวเวอร์สโตน ภาพบนผนังคือ สี่สมดุลย์กำลังเจียรไนอินฟินิตี้สโตนนั่นเอง..
(Infinity Stone ชิ้นที่ 1 Orb คือ Power Stone) แต่แล้ว.. ดาวโมแร็กก็เกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่หลวง ดาวทั้งดวง อารยธรรมทั้งหมด จมหายอยู่ใต้มหาสมุทร ทำให้พาวเวอร์สโตนที่อยู่ในออร์ป ก็จมอยู่ใต้มหาสมุทรเช่นนั้นสืบมา..[/color]
โลก หรือ มิดการ์ด 1 ใน 9 อาณาจักรแห่งอิกดราซิล.. อุกกาบาตแร่โลหะต่างดาวขนาดมหึมา ไวเบรเนียม (Vibranium) ได้ตกลงมาที่ทวีปขนาดใหญ่แห่งนึงบนโลก (ปัจจุบันคือทวีปแอฟริกา) ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกับพืชพันธุ์และสิ่งมีชีวิตทั่วบริเวณนั้น
ไวเบรเนียม (Black Panther 1) ผ่านมาเนิ่นนาน.. ยุคแรกเริ่มกำเนิดเผ่าพันธุ์มนุษย์ ณ บริเวณผืนแผ่นดินที่อุกกาบาตแร่ไวเบรเนียมตกลงมา ที่แห่งนั้นถูกเรียกขานว่า “วากานด้า” ซึ่งมี 5 ชนเผ่า ได้ต่อสู้แย่งชิงวากานด้ากันอย่างไม่หยุดหย่อน
จวบจนหมอผีของเผ่าโกลเด้นนามว่า บาเชนก้า (Bashenga) ได้รับการติดต่อจาก เทวีบาสท์ เทพเจ้าเสือดำแห่งทวีปแอฟริกา ชี้นำให้บาเชนก้ากิน “สมุนไพรรูปหัวใจ” ที่กลายพันธุ์ขึ้นจากแร่ไวเบรเนียม ทำให้บาเชนก้ามีพละกำลังเหนือมนุษย์ กำเนิดเป็น “แบล็คแพนเธอร์” คนแรก
เทวีบาสท์ พบ บาเชนก้า (Black Panther 1) หมอผีบาเชนก้า หรือ แบล็คแพนเธอร์ ได้ทำการรวมชนเผ่าทั้ง 5 เข้ามาเป็นหนึ่งเดียว ยุติสงคราม สถาปนาตนเองเป็นกษัตริย์ และก่อตั้งประเทศ “วากานด้า” ขึ้นมานับตั้งแต่นั้น
อีกมุมหนึ่งในมิติเร้นลับของจักรวาล.. เทพเจ้าชั้นอาวุโสของจักรวาล ( Elder God) นามว่า อกาม๊อตโต้ (Agamotto) ผู้เก็บรักษาไทม์สโตน หนึ่งในอินฟินิตี้สโตน หลังจากอกาม๊อตโต้ท่องไปในมิติต่างๆอย่างโดดเดี่ยวมานานแสนนาน อกาม๊อตโต้ก็บังเอิญไปปะทะกับสุดยอดจอมปีศาจผู้มีนามว่า ดอร์มัมมู (Dormammu)
ซึ่งดอร์มัมมู คือจ้าวผู้เป็นใหญ่ในมิติที่เรียกว่า ดาร์ค ดิเมนชั่น (Dark Dimension) ดอร์มัมมูนำดาร์คดิเมนชั่นกลืนกินอาณาจักรและดวงดาวต่างๆมากมายไปทั่วจักรวาล[/color]
ดอร์มัมมู (Doctor Strange 1) โลก คือเป้าหมายสำคัญที่ดอร์มัมมูต้องการดูดกลืนสู่มิติดาร์คดิเมนชั่น แต่มหาเทพอกาม็อตโต้ ก็ออกตัวเข้าขัดขวางดอร์มัมมู ไม่ให้กลืนมิติโลกมนุษย์ ทำให้อกามอตโต้ กลายเป็นจอมเวทย์ผู้ปกป้องโลกคนแรก (First Sorcerer Supreme)
อกามอตโต้สร้างเขตเวทย์ (Sanctum) เพื่อป้องกันดอร์มัมมูกลับมารุกราน ไว้ยังสามสถานที่บนโลกทั้งสามทวีปดินแดนใหญ่ (ปัจจุบันคือ ลอนดอน ฮ่องกง และ นิวยอร์ค) โดยเขตเวทย์ทั้งสาม จะคอยป้องกันไม่ให้ดอร์มัมมูใช้ดาร์คดิเมนชั่นกลืนกินมิติโลกได้เขตเวทย์แห่งอกามอตโต้ทั้งสามบนโลก (Doctor Strange 1) หลังจากนั้น อกามอตโต้ก็สละหน้าที่จอมเวทย์สูงสุด เพื่อให้สิ่งมีชีวิตต่างๆบนโลกมนุษย์ที่เก่งกาจเวทย์ ดูแลปกป้องมิติโลกแทนตนเอง
อกามอตโต้ จึงนำไทม์สโตนซึ่งถูกซ่อนอยู่ในไอเทมวิเศษ นั่นก็คือ ดวงตาแห่งอกาม๊อตโต้ (Eye of Agamotto) เพื่อเอาไว้ให้มนุษย์ที่ได้รับสืบทอดตำแหน่งจอมเวทย์สูงสุดใช้ปกป้องโลก
จึงมีซอเซอร์เรอร์ซูพรีม หรือ จอมเวทย์สูงสุดของโลกคนที่ 2 ,3,4,5 ฯลฯ เรื่อยๆมาหลังจากนั้น จอมเวทย์สูงสุดของโลกทำหน้าที่หลักคือ ป้องกันไม่ให้มีอะไร หรือ สิ่งใด มารบกวนมิติโลก และปกป้องไทม์สโตน นับตั้งแต่บัดนั้นสืบมา..(Infinity Stone ชิ้นที่ 2 Eye of Agamotto คือ Time Stone) อีกด้านหนึ่งของจักรวาล.. อีโก้ ดวงดาวที่มีชีวิต เริ่มสร้างร่างแยกของตนออกจากสมอง โดยร่างแยกนั้น มีลักษณะเป็น ฮิวแมนนอย ที่เหมือนร่างมนุษย์ แต่ทั้งสองส่วนของอีโก้ ก็ยังเชื่อมต่อกันทางพลังงานอยู่ดี ร่างฮิวแมนนอยของอีโก้ จึงต้องกลับมาเติมแสงเทพจากสมองไฟฟ้าที่ดาวตัวเองบ่อยๆ
ดาวอีโก้ (Guardians of the Galaxy Vol.2) อีโก้นั้นท่องเที่ยวไปในอวกาศหลากหลายกาแล็กซี่ทั่วจักรวาล เพื่อเพาะเมล็ดพันธุ์ส่วนนึงของร่างเทพตนเองไว้ในผืนแผ่นดินดวงดาวต่างๆ และเพื่อสมสู่กับสิ่งมีชีวิตบนดาวเหล่านั้นอีกด้วย
2988 ปีก่อนคริสตกาล ที่สวาทาลฟ์ไฮม์ 1 ใน 9 อาณาจักรแห่งอิกดราซิล ราชาดาร์คเอลฟ์นามว่า มาลาคิธ (Malekith) ผู้มีความโหดเหี้ยม ทะเยอทะยาน มาลาคิธได้ค้นพบ เรียลลิตี้สโตนเข้าจนได้ ซึ่งบัดนี้ถูกเรียกขานว่า อีเธอร์ (Aether) ที่มีพลังเปลี่ยนแปลงความจริง
(Infinity Stone ชิ้นที่ 3 Aether คือ Reality Stone) มาลาคิธ กำลังคิดจะใช้อีเธอร์หรือเรียลลิตี้สโตนเปลี่ยนจักรวาลให้กลับไปมืดมิดอีกครั้ง จากการเรียงตัวของหมู่ดาว 9 อาณาจักรแห่งจักรวาลในรอบพันปี
มาลาคิธได้นำอีเธอร์ไปยังจุดที่ดาวเรียงกันและส่งพลังสูงที่สุด เพื่อทำการเปลี่ยนจักรวาลให้มืดมิดดั่งเช่นอุดมการณ์ของเผ่าพันธุ์ดั้งเดิมมาลาคิธ (Thor:2 The Dark World) แต่ทว่า บอร์ (Bor) กษัตริย์แห่งแอสการ์ด ซึ่งเป็น 1 ใน 9 อาณาจักรแห่งอิกดราซิลเช่นกัน บอร์นำทัพแอสการ์เดี้ยนบุกสวาทาลฟ์ไฮม์ เพื่อทำการขัดขวางมาลาคิธ ชิงอีเธอร์มาได้ และสังหารดาร์คเอลฟ์ไปมากมาย มาลาคิธและดาร์คเอลฟ์ที่เหลือ จึงหนีไปจำศีลหลบซ่อนตัวอยู่ในความมืดของจักรวาล รอเวลาจะกลับมาอีกครา..
บอร์รู้ว่า อีเธอร์ คือขุมพลังดึกดำบรรพ์ทรงพลังที่มิอาจทำลายได้ บอร์จึงนำอีเธอร์ไปซ่อนเร้นไว้ในมิติอิกดราซิล หรือ ต้นไม้แกนโลก ซึ่งเป็นหนทางเชื่อมต่ออาณาจักรทั้ง 9 ไว้ด้วยกันนั่นเองราชาบอร์ บิดาแห่งโอดิน (Thor:2 The Dark World) ที่มัสเปลไฮม์ 1 ใน 9 อาณาจักรแห่งอิกดราซิล โอดินเจ้าชายแห่งแอสการ์ด บุตรชายแห่งราชาบอร์ ได้พิชิตมัสเปลไฮม์ ดินแดนแห่งยักษ์อสูรไฟ ทำการปราบราชาอสูรไฟ เซอร์เทอร์ (Surtur) ลงไปได้สำเร็จ
แต่โอดินฆ่าเซอร์เทอร์ไม่ได้ เซอร์เทอร์จะคืนชีพได้ตลอด โอดินจึงยึดเอา อีเทอนอล เฟรม (Eternal Flame) ขุมพลังของเซอร์เทอร์มาเก็บไว้ที่คลังแอสการ์ด เพื่อสะกดราชาเซอร์เทอร์ไว้ไม่ให้มีพลังกล้าแกร่งขึ้นได้อีกเลยนับตั้งแต่นั้น
ราชาอสูรไฟ เซอร์เทอร์ (Thor 3: Ragnarok) ที่แอสการ์ด 1 ใน 9 อาณาจักรแห่งอิกดราซิล ต่อมา บอร์ก็สละบัลลังค์ให้บุตรโอดิน โอดินกษัตริย์แห่งแอสการ์ดคนปัจจุบัน มีบุตรสาวคนแรกนามว่า เฮล่า (Hela)
เมื่อเจ้าหญิงเฮล่าเติบโต โอดินก็แต่งตั้งให้ลูกสาวมีหน้าที่เป็นผู้สำเร็จโทษหรือ Executioner โอดินมอบฆ้อนโยเนียร์ (Mjolnir) ให้เฮล่าใช้ทำศึก โอดินและเฮล่านำเหล่าอานเฮญ่าทำการพิชิตอาณาจักรที่กระด้างกระเดื่องไว้ได้ทั้งหมด
โอดินและเฮล่า (Thor 3: Ragnarok) เมื่ออาณาจักรทั้ง 9 สงบร่มเย็น หากแต่เฮล่ายังคงกระหายสงคราม นอกจากอาณาจักรทั้ง 9 แล้ว เฮล่ายังต้องการยึดครองดาวดวงอื่นๆในจักรวาลอีกด้วย โอดินที่มีวุฒิภาวะมากขึ้น จึงคิดได้ว่า ตนเองนั้นได้หล่อหลอมให้เฮล่ากลายเป็นเทพีผู้กระหายสงครามไปเสียแล้ว ซึ่งอาจเป็นภัยกับตนและแอสการ์ด
โอดินจึงยึดโยเนียร์ สังหารเหล่าทหารในอาณัติเฮล่า สังหาร เฟนริส หมาป่ายักษ์สัตว์เลี้ยงของเฮล่า นำศพเหล่านั้นฝังลงใต้คลังอาวุธแอสการ์ด และสั่งเนรเทศให้เฮล่าตกไปสู่มิตินรกนามว่า เฮล (Hel)เฮล่า โดนเนรเทศไปสู่ เฮล (Thor 3: Ragnarok) ที่เฮล โอดินยังส่งให้เหล่ากองทัพวัลคีริเออร์ เทพีนักรบสาวล้วน ทำการเดินทางด้วยไบฟรอสท์ไปยื้อเฮล่าไว้ที่นั่นก่อนประตูมิติเฮลจะปิดสนิท ทำให้เหล่าวัลคีริเออร์โดนเฮล่าฆ่าตายไปแทบหมดสิ้น
วัลคีรี พยายามสู้ตายกับเฮล่า แต่ได้เพื่อนนักรบคนสุดท้ายสละชีวิตช่วยไว้ ทำให้วัลคีรี่กระเด็นหลุดไปเข้าสู่สะพานรูหนอนของไบฟรอสท์ที่ปั่นป่วน วัลคีรีจึงไปโผล่ที่อาณาจักรที่อยู่ในมิติกึ่งความเป็นจริงนามว่า
สคาร์ (Skarr) วัลคีรีจึงเป็นวัลคีริเออร์เพียงคนเดียวที่รอดชีวิต หลังจากนั้น มิติเฮลก็ปิดสนิท เฮล่าจึงโดนจองจำอยู่ที่เฮลด้วยมนต์สะกดของโอดิน ทำให้หนีออกมาไม่ได้อีกเลย..
วัลคีรี่ (Thor 3: Ragnarok) ที่แอสการ์ด หลังจากนั้น โอดินก็ทำการลบประวัติศาสตร์ที่มีเฮล่าเกี่ยวข้องออกทั้งหมด และอภิเษกสมรสครองคู่กับ
ฟลิกก้า (Frigga) ราชินีฟลิกก้าให้กำเนิดบุตรชาย และให้ชื่อว่า
ธอร์ (Thor) ราชาโอดิน ก็ตั้งใจจะมอบฆ้อนโยเนียร์ให้ธอร์ เมื่อธอร์เติบโตขึ้น และไม่มีใครสามารถใช้หรือยกฆ้อนโยเนียร์นี้ได้นอกจากโอดินและธอร์ (รวมถึงเฮล่าด้วยอีกคนที่ใช้โยเนียร์ได้) ราชินีฟลิกก้าให้ความสามารถธอร์คือความกล้าหาญ โอดินให้ความสามารถธอร์คือพละกำลังและอำนาจเรียกสายฟ้า..โยเนียร์ (Thor 1) ณ กาแล็กซี่แอนโดรเมด้า จักรวรรดิ Kree (ครี) เอเลี่ยนที่มีอารยธรรมสูงล้ำ ที่มีนิสัยชอบรุกรานเผ่าพันธุ์อื่นๆ ก็เริ่มปะทะกับและทำสงครามกับอาณาจักร Xandar มีการปะทะกันบ่อยครั้งระหว่างสองอาณาจักรนี้ เป็นเหตุให้ชนชั้นนักรบทั้งสองเผ่าพันธุ์ล้มหายตายจากไปมากมาย
ปีค.ศ. 965 ที่โลก หรือ มิดการ์ด ลอฟฟี่ ราชายักษ์น้ำแข็งแห่งโยธันไฮม์ 1 ใน 9 อาณาจักรแห่งอิกดราซิล นำกองทัพยักษ์น้ำแข็งเดินทางข้ามจักรวาล และบุกรุกโลกมนุษย์หวังยึดครอง เพื่อเปลี่ยนโลกกลับไปสู่ยุคน้ำแข็ง
สถานที่ที่เหล่ายักษ์น้ำแข็งได้ลงมายังโลกนั้นคือ ทอร์นสเบิร์ก นอร์เวย์ ลอฟฟี่ใช้หีบศักสิทธิ์ (Casket of Ancient Winters) แช่แข็งคร่าชีวิตมนุษย์ไปมากมายลอฟฟี่ และ เหล่ายักษ์น้ำแข็ง (Thor 1) แต่ชาวแอสกาเดี้ยนนำทัพโดย โอดิน กษัตริย์แห่งแอสการ์ด ได้นำทัพนักรบอานเฮอญ่าเดินทางข้ามจักรวาลโดย "Bifrost Bridge" หรือสะพานไบฟรอสท์มายังโลก
เพราะโลกของพวกมนุษย์ อยู่ในความคุ้มกันที่แอสกาเดี้ยนต้องพิทักษ์ กองทัพแอสกาเดี้ยนมาช่วยสู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่ชาวมนุษย์ ขับไล่เหล่ายักษ์น้ำแข็งกลับไปโยธันไฮม์ได้โอดิน และ เหล่าแอสการ์เดี้ยน (Thor 1) การปรากฏตัวของชาวแอสกาเดี้ยนครั้งนั้น ทำให้มนุษย์ได้ตระหนักว่า มนุษย์มิได้อยู่เพียงลำพังในจักรวาล เนื่องด้วยสติปัญญา/พละกำลัง/และเทคโนโลยีของชาวแอสกาเดี้ยน ทำให้มนุษ์มิอาจมองเสมอเหมือนตน กลับยกให้เป็นเทพเจ้าของพวกเขา
โอดิน ทำการซ่อนแทซเซอแร๊คไว้กับที่ทอร์นสเบิร์ก ประเทศนอร์เวย์ เพื่อหวังให้พ้นจากเผ่าพันธุ์ชั่วร้ายในจักรวาล ที่หวังจะใช้ขุมพลังนี้เพื่อรุกรานเผ่าพันธุ์อื่นๆ