• ชื่อไทย : แบล็ค แพนเธอร์: วาคานด้าจงเจริญ
• ปีที่เปิดตัว : 2565
• เข้าฉายในไทย : 9 พฤศจิกายน 2565
• นำแสดง : Letitia Wright, Lupita Nyong'o, Danai Gurira
• กำกับโดย : Ryan Coogler
• เขียนโดย : Ryan Coogler, Joe Robert Cole
• ประเภท : Action / Adventure / Drama / Fantasy / Sci-Fi / Thriller
• ความยาว : 161 นาที
• สร้างโดย : USA
• จำหน่ายโดย : Marvel Thailand
เรื่องย่อ Black Panther: Wakanda Forever Black Panther: Wakanda Forever แบล็ค แพนเธอร์ วาคานด้าจงเจริญ หนังแอ็คชั่นซูเปอร์ฮีโร่ภาคต่อที่จะมาเปิดเผยสืบทอดแบล็ค แพนเธอร์ คนใหม่ จะเป็นอย่างไรหลังไม่มีกษัตริย์ ทีชัลลา มาติดตามกัน
หลังจากที่สิ้นสุดเรื่องราวมหากาพย์ที่ดำเนินมากว่า 10 ปีไปแล้ว ในตอนนี้ MCU เฟสที่ 4 กำลังเดินหน้าไปในทิศทางใหม่ หนึ่งในภาพยนตร์ที่กำลังอยู๋ในช่วงถ่ายทำอยู่ในตอนนี้ก็คือ Black Panther: Wakanda Forever การกลับมาของดินแดนที่ซ่อนตัวมายาวนาน ดินแดนที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีสุดล้ำ กับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ดินแดนนี้ต้องเผชิญ และล่าสุดตอนนี้พวกเขาได้นักแสดงคนใหม่เข้ามาเสริมทัพแล้ว
ราชินี รามอนดา (แองเจลา บาสเซตต์) ชูรี (เลทิเทีย ไรท์) เอ็มบาคู (วินสตัน ดุ๊ก) โอโคเย (ดาไน กูริรา) และ โดรา มิลาเจ (รวมไปถึง ฟลอเรนซ์ คาซัมบา) จะต้องร่วมต่อสู้เพื่อปกป้องประเทศของพวกเขาจากการแทรกแซงทางอำนาจหลังการสวรรคตของกษัตริย์ทีชัลลาในระหว่างที่ชาววาคานดาพยายามอย่างหนักเพื่อที่จะก้าวต่อไป เหล่าฮีโรจึงต้องร่วมมือกัน ด้วยความช่วยเหลือของ วอร์ด็อกนาเคีย (ลูพีตา ญองอ) และ เอเวอเร็ตต์ รอสส์ (มาร์ติน ฟรีแมน) ในการสร้างเส้นทางใหม่ให้กับวานคานดา
มาถึงคิวหนังลำดับที่ 30 ของจักรวาลหนังมาร์เวล และเป็นการทำหน้าที่ปิดฉากเฟสที่ 4 ลงอย่างเป็นทางการ นี่คือ "Black Panther: Wakanda Forever วาคานด้าจงเจริญ" กับการร้อยเรียงเรื่องราวสดุดีถึงนักแสดงหนุ่มผู้จากไป "แชดวิก โบสแมน" เป็นการคาระตำนานที่สร้างความทรงจำเอาไว้ให้กับแฟน ๆ แม้จะเป็นเพียงระยะเวลาไม่นานนัก แต่ทุกเนื้อหาและทุกข้อความในหนังเรื่องนี้ถ่ายทอดออกมานั้น ค่อนข้างเข้มข้นในแง่การระลึกถึง...
Black Panther: Wakanda Forever วาคานด้าจงเจริญ เป็นเรื่องราวของ ราชินีรามอนด้า, ชูรี, เอ็มบาคู, โอโคเย และ โดรา มิลาเจ จะต้องร่วมต่อสู้เพื่อปกป้องประเทศของพวกเขาจากการแทรกแซงทางอำนาจหลังการสวรรคตของกษัตริย์ทีชัลล่าในระหว่างที่ชาววาคานด้าพยายามอย่างหนักเพื่อที่จะก้าวต่อไป เหล่าฮีโร่จึงต้องร่วมมือกัน ด้วยความช่วยเหลือของวอร์ด็อกนาเคีย และ เอเวอเร็ตต์ รอสส์ ในการสร้างเส้นทางใหม่ให้กับวานคานด้า
และแน่นอนว่านี่คือฉากการสดุดีถึง แบล็ค แพนเตอร์ คนเก่า และระลึกถึงนักแสดงหนุ่มผู้จากไป ที่มีความยาวกว่า 160 นาที ที่ถูกว่าตอบโจทย์การรำลึกได้ค่อนข้างน่าพอใจ ชวนแฟน ๆ ได้คะนึงหาและคิดถึงภาพวันวานที่ได้กลายเป็นความทรงจำตลอดกาลของจักรวาลมาร์เวลไปเรียบร้อยแล้ว นี่ก็ถือว่าไม่ได้พูดเกินไปสักหน่อยกับสิ่งที่บรรดาผู้สร้างหนังเรื่องนี้ต่างยกให้เป็น Tribute Feature ถึงนักแสดงผู้ล่วงลับคนที่จากไปอย่างกะทันหัน
"ไรอัน คูเกลอร์" ยังคงกลับมารับหน้าที่ดูแลงานสร้างและกำกับหนังเรื่องภาคนี้อีกครั้ง แน่นอนว่าเขายังคงควบคุมโทนและรายละเอียดต่าง ๆ เอาไว้ได้ค่อนข้างน่าพอใจ ใส่ใจในการถ่ายทอดขนบธรรมเนียมประเพณีชาวพื้นเมือง สร้างฉากพิธีต่าง ๆ ออกมาได้ลึกซึ่งถึงแก่น พร้อมทั้งยังส่งสารบางอย่างถึงผู้ชมเอาไว้ได้อย่างเป็นนัย รวมทั้งเป็นการขยายกรอบอาณาเขตให้กับโลกของวากานด้าได้เติบโตยิ่งขึ้น เป็นการผสมผสานระหว่างโลกใหม่กับความสูญเสียคละเคล้ากันไป
• "Black Panther: Wakanda Forever" มีฉากเครดิตท้ายเรื่องหรือไม่ ไขปริศนาได้ที่นี่ แต่ก็น่าเสียดายที่ในท้ายที่สุด Black Panther: Wakanda Forever ก็ทำออกมาได้เพียงรสชาติเก่าที่คุ้นเคยเดิม ๆ แบบฉบับหนังมาร์เวล เป็นความกลมกล่อมที่ยังวนเวียนอยู่ในอ่างเซฟโซน ที่หนังเรื่องยังไม่สามารถสร้างมุมมองและความสดใหม่ให้กับตัวเองได้ อาจจะเพราะว่าหนังต้องแบกรักการขับเคลื่อนประเด็นหลัก ๆ ถึง 2 องก์ใหญ่เอาไว้ในคราวเดียวกัน องก์หนึ่งก็สำคัญ แต่อีกองก์ไม่สามารถทิ้งไปได้ ทำให้เมื่อมาหล่อรวมกันแล้วนั้น ทุกอย่างยังค่อนข้างไร้ความจัดจ้านไปสักหน่อย
ต้องสารภาพอย่างตรงไปตรงมาเลยว่า ช่วง 30 นาทีแรกของ Black Panther: Wakanda Forever แอบสัปหงกไปหลายวูบเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าหนังไม่ดีอะไร แต่จังหวะและโทนการเล่าเรื่องที่ค่อนข้างใส่อารมณ์แห่งความสูญเสียและดราม่าจัด ๆ กับความเนิบช้าในการเล่านั้น ก็พลอยทำให้เคลิ้มได้อยู่เหมือนกัน แต่ก็มีเพียงแค่นั้น เพราะหลังจากที่หนังนำทางไปสู่เรื่องราวที่เข้มข้นยิ่งขึ้น มีตัวละครเพิ่มมากขึ้น ก็ยังสามารถตราตรึงในผู้ชมสนใจได้ดีอยู่ต่อไป
Black Panther: Wakanda Forever ภาคนี้ได้กลายมาเป็นหนังที่ขับเคลื่อนตัวตัวละครหญิงที่โดดเด่นเป็นแน่แท้ แน่นอนว่าหนังมีความเพื่อนหญิงพลังหญิงค่อนข้างเพิ่มขึ้นจากภาคก่อนแบบคนละขั้วไปเลย นักแสดงชายในภาคนี้กลายเป็นมาเป็นองค์ประกอบเสริมไปในทันที แต่การรวมพลังขับเคลื่อนในหนังเรื่องนี้ของพวกเธอนั้นก็ค่อนข้างสัมฤทธิ์ผล และอย่างน้อย ๆ ก็มีเหตุมีผลที่ค่อนข้างใช้ได้ในการเลือกทิศทางนี้ในการดำเนินเรื่อง และประทับใจที่เพิ่ม sense of humor เข้ามาในภาคนี้เยอะขึ้นหน่อย
พลังหญิงที่มี "แองเจลา บาสเซตต์", "ลูพีตา ญองอ" และ "ดาไน กูริรา" ที่ถือว่าพวกเธอเป็น 3 ทหารสาวผู้โดดเด่นในหนังเรื่องนี้ และเป็นตัวละครสมทบที่ช่วยขับเคลื่อนและบังคับทิศทางของหนังเอาไว้ได้ค่อนข้างดี เป็นส่วนเสริมที่แข็งแรงและเป็นแขนขาที่พยุงหนังทั้งเรื่องไว้ได้อย่างพอใจ อีกทั้งการเปิดตัวของ "ดอมีนีก ทอร์น" ในฐานะฮีโร่ตัวใหม่ในเรื่องนี้ ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่การเปิดตัวที่โดดเด่นอะไร แต่ก็ยังเป็นการแนะนำที่ไม่หวือหวาและเรียกความน่าสนใจได้ดีระดับหนึ่ง
ขณะที่บทบาทวายร้ายหลักของ "เตนอช เวร์ตา" แอบทำให้เซอร์ไพรส์อยู่เบา ๆ เช่นกัน อาจจะเป็นเพราะว่าภาคนี้มีนักแสดงชายหนุ่มไม่ค่อยเยอะ แต่เขาก็คือตัวละครชายที่โดดเด่นที่สุดกว่าใคร พร้อมกับมองการแสดงที่ค่อนข้างดีกว่าที่คิดเอาไว้ ดีไซน์ตัวละคร นามอร์ ออกมาได้ค่อนข้างลุ่มลึกและน่าค้นหา แม้ว่าบทวายร้ายบทจะนี้ช่างแบนราบ แต่เขายังฉายเสน่ห์การเป็นนักแสดงออกมาได้แพรวพราวในหนังเรื่องนี้ได้กว่าที่คิด
ทางด้าน "เลทิเทีย ไรท์" ที่ภาคนี้ต้องก้าวขึ้นนำทัพเป็นนักแสดงหลักของเรื่อง แน่นอนว่าเธอก็ทำออกมาได้ดีตามมาตรฐานของเธอ เพียงแค่รู้สึกพลังและอินเนอร์ต่าง ๆ ของเธอที่ถ่ายทอดออกมานั้น ยังไม่ค่อยทรงพลังเพียงพอที่จะแบกรับหนังทั้งเรื่องเอาไว้ได้เพียงลำพัง นับว่าโชคดีที่ยังเพื่อน ๆ นักแสดงตัวละครอื่นมาช่วยประคองเอาไว้ เธออาจจะยังค่อนข้างใหม่กับการต้องมารับศึกหนักในหนังฟอร์มยักษ์ขนาดนี้ จึงทำให้ลีลาการแสดงของเธอนั้นยังไม่ถึงขั้นที่จะทำให้ตาลุกวาวสักเท่าไหร่
ด้านองค์ประกอบงานสร้างของ Black Panther: Wakanda Forever ก็ไม่ต้องพูดอะไรเยอะ เพราะยังไงก็เข้าขั้นดีตามมาตรฐานของมาร์เวล แต่อยากจะพูดถึงการดีไซน์โลกใต้น้ำในอาณาจักรของนามอร์ ที่ตอนแรก ๆ ก็แอบกังวลว่าคอนเซ็ปต์มันจะต่างแค่ไหนกับ Aquaman ทางฝั่งดีซีเคยทำเอาไว้ แต่ถือว่าสร้างผลลัพธ์ออกมาได้น่าพอใจทีเดียว กับการดีไซน์และมอบมุมมองที่ต่างจากเดิม กลายเป็นการสร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ ไม่น้อย ก็เหมือนเอา Aquaman มายำผสมเข้ากับ Avatar อะไรประมาณนั้น ยิ่งดูบนจอใหญ่ไอแม็กซ์ด้วยแล้ว ยิ่งน่าประทับใจดีเชียว
อีกไฮไลต์ถือว่าเป็นจุดเด่นของหนังชุด Black Panther ก็คงจะเป็นซาวน์ดนตรีประกอบ ที่นำเอาเพลงจากหนังต้นฉบับมามิกซ์ใหม่ในรูปแบบที่ค่อนข้างลื่นหูไปอีกแบบ แม้ว่าจะยังสร้างความแปลกใหม่ไม่ได้แบบที่ภาคแรกเคยทำเอาไว้ก็ตาม แต่ก็อีกซาวน์ที่เร้าอารมณ์และเข้ากับเนื้อหาของหนังได้เป็นอย่างดี ขณะที่องค์ประกอบเรื่องคอสตูมและอุปกรณ์ไฮเทคในหนังภาคนี้นั้น ไม่ได้สร้างความตื่นตาตื่นใจอะไรให้คนดูได้มากสักเท่าไหร่นัก
แต่ในขณะเดียวกันนั้น Black Panther: Wakanda Forever ก็ยังเต็มไปด้วยปัญหาและจุดบกพร่อง ไม่ใช่แค่เพียงบทหนังและโครงสร้างที่ยังไม่ค่อยหนักแน่นพอ จังหวะต่าง ๆ ในการเล่าเรื่อง รวมทั้งซีนเด่น ๆ ในหนังเรื่องนี้แทบหาไม่เจอ เสน่ห์หลายสิ่งได้ขาดหายไปเมื่อเปรียบเทียบกับภาคก่อน โดยเฉพาะฉากเด็ดฉากต่อสู้ที่ควรมีสักหนึ่งในความโดดเด่นของหนังบ้าง แต่ภาคนี้ค่อนข้างทำได้ล้มเหลว ฉากไคล์แม็กซ์จริง ๆ ไม่มีอะไรให้น่าจดจำเลย มันเป็นสูตรสำเร็จแบบแห้งแล้ง ตื้นเขินไปเสียทุกมิติ ที่หวังจะเพิ่งใบบุญการแสดงของนักแสดงอย่างเดียวที่ก็ยังไม่ทรงพลังเพียงพอ
เอาเป็นว่าโดยภาพรวมแล้วนั้น กลับมองว่า Black Panther: Wakanda Forever เป็นเพียงแค่มาฉายคั่นเวลา จากสถานการณ์สุดวิสัยที่เกิดขึ้นกับโครงการหนังเรื่องนี้ ทำให้ต้องปรับแผนเดิมของหนังออกไป แล้วมาใส่เนื้อหาที่เป็นการรำลึกถึงนักแสดงที่จากไปและเซอร์วิสแฟน ๆ ด้วยการสั่งลาคาแรกเตอร์อันโปรดปรานของใครหลายคน เพราะหลายองค์ประกอบในหนังนั้นยังไม่มีอะไรจะหนักแน่นไปได้เทียบเท่ากับการสดุดีที่ใส่เข้ามา แต่อย่างน้อย ๆ หนังก็พยายามจัดอะไรบางอย่างให้กลับเข้าที่เข้าทางได้ยิ่งขึ้น