• ชื่อไทย : มหาศึกวีรสตรีเหล็ก
• ปีที่เปิดตัว : 2565
• เข้าฉายในไทย : 12 มกราคม 2566
• นำแสดงViola Davis, Thuso Mbedu, Lashana Lynch
• กำกับโดย : Gina Prince-Bythewood
• เขียนโดย : Dana Stevens, Maria Bello
• ประเภท : Action / Drama / History
• ความยาว : 171 นาที
• สร้างโดย : USA
• จำหน่ายโดย : Sony Pictures Thailand
เรื่องย่อ The Woman King มหาศึกวีรสตรีเหล็ก เรื่องราวที่สร้างมีแรงบันดาลใจจากเหตุการณ์จริงที่น่าทึ่งของ อะโกเจีย หน่วยนักรบหญิงล้วนผู้ปกป้องอาณาจักรดาโฮมีในแอฟริกาในยุค 1800 ด้วยทักษะและความดุดัน ในแบบที่คนทั้งโลกไม่เคยเห็น เล่าเรื่องการเดินทางครั้งยิ่งใหญ่ของ นายพลนานิสกา (วิโอลา เดวิส) ขณะที่เธอฝึกฝนทหารเกณฑ์รุ่นต่อไปและเตรียมพวกเธอให้พร้อมสำหรับการต่อสู้กับศัตรูที่ตั้งใจจะทำลายวิถีชีวิตของพวกเขา บางสิ่งก็คุ้มค่าที่จะต่อสู้เพื่อมัน
อีกเรื่องที่ลุ้นแบบใจหายแว่บเหมือนกันว่าจะได้ลงโรงฉายหรือไม่ ก็คือหนังแอคชั่นดราม่าพลังหญิงที่ใคร ๆ ก็พูดถึงกันในปีนี้ และน่าจะมีบทบาทบนเวทีรางวัลในช่วงต้นปีที่จะถึงนี้ด้วย นี่คือ "The Woman King มหาศึกวีรสตรีเหล็ก" หนังที่อิงมาจากตำนานเรื่องจริงพลังหญิงที่เคยเกิดขึ้นบนโลก ที่มาพร้อมกับโปรดักชั่นอันแสนแข็งแกร่งและการแสดงสุดสตรองของทีมนักแสดงหญิงผิวสีที่ต้องยกนิ้วให้
The Woman King มหาศึกวีรสตรีเหล็ก ได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องจริงของ อโกจี (Agojie) หน่วยรบหญิงล้วนชาวแอฟริกันที่ปกป้องอาณาจักรดาโฮมีย์ในศตวรรษที่ 18 นายพลนานิสกา ขุนพลหญิงสุดแกร่ง เธอรับหน้าที่ฝึกทหารใหม่เพื่อป้องกันอาณาจักรจากนักล่าอาณานิคมชาวยุโรปที่กำลังบุกมารุกรานแผ่นดิน และต้องการจับผู้คนในการแลกซื้อขายทาสอันแสนอดสู
อย่างที่กล่าวว่าหนังเรื่องนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากเรื่องจริง โดยได้นักแสดงสาว "มาเรีย เบลโล" เป็นผู้ที่ผลักดันและปลุกปั้นตำนานเรื่องราวนี้ให้มาขึ้นจอ ทำให้เธอได้รับตำแหน่งเป็นนักเล่าเรื่องหลักของหนังเรื่องนี้ และยังพ่วงตำแหน่งโปรดิวเซอร์หนังอีกด้วย หนังยังเป็นการผนึกกำลังของทีมผู้สร้างพลังหญิง โดยได้ "ดาน่า สตีฟเวนส์" (จาก City of Angels) มาเขียนออกมาเป็นบทหนังที่กลมกล่อมให้
และนี่คือผลงานการกำกับของผู้กำกับหญิง "จีน่า พรินซ์-ไบต์วู้ด" ที่โดดเด่นกับงานสร้างหนังเกี่ยวกับผู้หญิงมาหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น The Secret Life of Bees หรือล่าสุดใน The Old Guard แน่นอนว่าเธอรู้ดีว่าควรจะจัดงานกับหนังสไตล์นี้อย่างไร ด้วยประสบการณ์ที่วาดลวดลายมาหลายปี สร้างถ่ายทอดและเล่าเรื่องราวออกมาได้ค่อนข้างทรงพลัง ด้วยโจทย์ที่มีเกรียงไกรอยู่ในตัวเองเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
แม้ว่าจังหวะของหนัง The Woman King นั้น จะไม่ได้แปลกใหม่อะไรสักเท่าไหร่ เรื่อย ๆ มาเรียง ๆ ตามสไตล์หนังที่ว่าด้วยนักรบและชาติพันธุ์ที่เราเคยเห็นกันมาก่อน แต่หนังก็ได้โทนการเล่าเรื่องและลีลาท่วงท่าในการออกรบที่ขับเคลื่อนความสนุกออกมาได้จับใจ เป็นหนังสงครามที่เต็มไปด้วยความทรงพลังและสัญญาณการสื่อสารที่ชัดเจนดี แม้ว่าจะค่อนข้างเพลย์เซฟบ้างไปสักนิดก็ตาม
เมื่อนำมาผสมผสานกับการแสดงอันจัดจ้านของทีมนักแสดงในหนังเรื่องนี้ ที่นำโดย "วิโอล่า เดวิส" สมศักดิ์ศรีกับเจ้าของรางวัลออสการ์ แม้ว่าจะไม่ใช่หนังสร้างเพื่อหวังรางวัลโดยแท้ แต่การแสดงของเธอที่ผสมท่าทางการรบนั้น ทำออกมาได้ดราม่าจัดจ้านและเต็มไปด้วยอินเนอร์ที่เปี่ยมด้วยพลังโดยแท้ เธอเป็นองค์ประกอบที่ดีที่สุดของหนังเรื่องนี้ และช่วยประคับประคองหนังทั้งเรื่องเอาไว้ได้เป็นอย่างดี
" ทูโซ เอ็มเบดู" ถือว่าแจ้งเกิดจากหนังเรื่องนี้ได้อย่างถ่องแท้ การแสดงที่บียอนด์ความแสดงของเธอได้อีกทาง เป็นการขยายกรอบขีดจำกัดของตัวเองที่ประสบความสำเร็จด้วยดี และยังมีนักแสดงสมทบคนอื่น ๆ ที่ละสายตาไปไม่ได้เลย อย่าง "ลาซานา ลินซ์", "ชีล่า เอติม" หรือ "จอห์น โบเยก้า" พวกเขาคือส่วนเสริมที่ช่วยเติมเต็มให้กับหนังเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดีเช่นเดียวกัน
อีกหนึ่งองค์ประกอบที่โดดเด่นไม่แพ้กันในเรื่องนี้ก็คือเพลงประกอบ ได้งานประพันธ์จากนักทรัมเป็ตระดับตำนาน "เทเรนซ์ แบลนชาร์ด" มาช่วยบรรเลงสร้างสรรค์เพลงอันเต็มไปด้วยเอกลักษณ์ตลอดหนังทั้งเรื่อง ที่ผสมผสานความเป็นแอฟริกันและความร่วมสมัยเข้าเอาไว้ได้อย่างลงตัว และเพลง "Keep Rising" ของ เจสซี่ วิลสัน ที่ใช้เป็นเพลงหลักของหนังเรื่องนี้ก็สร้างอารมณ์ความหึกเหิมได้เป็นอย่างดี
โดยสรุปแล้วนั้น The Woman King มหาศึกวีรสตรีเหล็ก เป็นหนังเชิงพาณิชย์กึ่งกับหนังดราม่าเฉียดรางวัลแบบเบา ๆ เพราะหนังก็ใช้ทุนระดับปานกลาง โครงสร้างหนังอาจจะไม่ได้รู้สึกว้าวมากเท่าไหร่ แต่เมื่อหลาย ๆ องค์ประกอบนำมาหล่อรวมกันไว้ถือว่าเป็นหนังที่ดีจัดจ้านเรื่องหนึ่งเลย หนังเล่าเรื่องได้สนุก มีจังหวะที่ดี และยังได้การแสดงระดับคุณภาพของทีมนักแสดงที่ต้องปรบมือให้ แค่ได้ดูการแสดงดี ๆ จากพวกเธอเหล่านี้ก็ถือว่าเป็นกำไรที่คุ้มค่าตั๋วมากแล้ว