รวดเร็วทันใจครับ
ขอบคุณคุณฉัตรชัยที่ช่่วยโพสต์นะครับ
ช่วงนี้ ผมกำลังเตรียมการไปทำหนังทีวัดบ้านดง อุตรดิตถ์ ก็เลยเข้ามาช้าหน่อยนะครับ..
นำภาพ เปรียบเทียบการแปลงสัญญาณภาพระบบเก่ากับระบบใหม่ ที่ผมกำลังทำอยู่ครับ
ครับ..สมัยแรกๆ นั้น ทีวีในกรุงเทพฯ ชอบที่จะนำหนังไทยเก่าๆ มาฉายให้ดู อย่างที่คุณ Lalita Chantasadkosol บอกไว้นะครับ แรกๆ ก็จะเป็นการฉายจากฟิล์มหนังจริงๆเลย ใช้กล้องซูมปล่อยออกอากาศสดๆ (แล้วจากนั้น ฟิล์มหนัง พ่อค้าก็จะปล่อยขายส่งไปตามจังหวัด ไปฉายหนังกลางแปลง) ต่อมาทีวีีเขาก็ต้องการความสบายมากขึ้น เขาก็เลยเปลี่ยนวิธีมาฉายหนังด้วยม้วนเทป โดยจะมีการทำสต๊อกไว้ วิธีการก็คือ จะนำฟิล์มหนังมาฉายอัดลงเทปยูเมติกไว้ก่อน หรือไม่งั้น ก็ขอซื้อเทปยูเมติกจากผู้ขายหนังเลย..
จากนั้นก็ค่อยๆ นำเทปยูเมติกมาฉาย..แรกๆ หนังไทย ก็มักจะฉายกันจบเต็มเรื่องสมบูรณ์คือ ประมาณ 2 ชั่วโมง แต่พอทีวีมีคนดูมากขึ้นเรื่อยๆ โฆษณาก็ตามมาเป็นเงา คราวนี้แหละครับที่หนังไทยเก่าๆ เริ่มถูกหั่นถูกตัดออกไปเพื่อให้เวลากับการโฆษณา..เวลา 2 ชั่วโมงที่รายการทีวีเขามี เขาก็จะแบ่งไปเป็นช่วงการโฆษณาประมาณ 30 นาที..ก็จะเหลือเนื้อหนังให้เราดูเพียง 1.30 ชม.ซึ่งข้อนี้เอง ที่ทำให้เกิดผลเสียกับหนังไทยเก่าๆ อย่างมากเพราะการตัดหนังออกไปถึง 30 นาทีนั้น ทำให้รสชาติของหนังหายไป เนื้อเรื่องหายไปกล่าวคือ ดูไม่ค่อยจะรู้เรื่อง คนดูก็เริ่มเบื่อหน่ายและบ่นว่า หนังไทยไม่ดี..
จากนั้นก็เกิดอาการ ไม่ดู..เมื่อปัญหาสะสมมากขึ้นเรื่อยๆ ทีวีเขาก็เลยตัดปัญหาด้วยการ ไม่ฉาย..เอ-วังอวสานหนังไทยบนจอทีวี ก็จบลง...
หนังไทยเหล่านี้ แต่ก่อนเจ้าของหนัง พอเขาปล่อยฟิล์มขายไปแล้ว เขาก็ไปสร้างเรื่องใหม่ตามมาอีก ขายแล้วก็ขายไป คนที่มีฟิล์มหนัง ก็จะฉายหรือขายต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าฟิล์มจะพังหรือหนังหมดความนิยม...แต่แล้วเมื่อระบบม้วนวีดีโอเทปเริ่มระบาดในเมืองไทย ก็ราวๆ ปี 2521..
เป็นต้นมานั่นแหละ เจ้าของหนังเขาเริ่มตามหาฟิล์มที่ปล่อยขายไป เอามาฉายอัดลงเทปยูเมติก บางรายไหวตัวทันหน่อย ก็รีบไปนำฟิล์มเนกาตีฟที่เมืองนอก มาพิมพ์ฟิล์มเพื่ออัดลงเทปยูเมติก แต่บางรายก็เห็นว่า อัดเป็นฟิล์มมา ก็ไม่ได้ใช้ฟิล์มฉายแล้ว เขาก็จ้างให้ห้องแล็บที่เมืองนอกแปลงสัญญาณลงม้วนยูเมติกเลยก็มี.. ฟิล์มไม่นำกลับมาแ้ล้วเพราะหนังเก่าๆ ไม่มีสายไหนเขาจะซื้อฟิล์มไปฉายแ้ล้วครับ.. ม้วนเทปยูเมติก หน้าตาเป็นแบบนี้ แต่ตอนนี้ เขาเลิกใช้กันแล้ว ก็ต้องแปลงภาพจากม้วนยูเมติก ออกไปเป็นอย่างอื่นๆ เช่น ดีวีดี แทนนะครับ..
ส่วนเครื่องเล่นเทปยูเมติก หน้าตาเป็นแบบนี้ นิยมใช้กันตามสถานีโทรทัศน์สมัยก่อน เรียกสั้นๆ เทปยูฯ.. ต่อมาเครื่องเล่นเทปแบบนี้ก็ลดสัดส่วนลงไปเป็นเครื่องเล่นวีดีโอเทปตามบ้านนะครับ.. และเมื่อเครื่องเล่นตามบ้านนี่แหละครับที่ทำให้การตามหาฟิล์มหนังไทยเก่าๆ มาอัดลงเทปยูเมติกก็เริ่มขึ้น..พออัดลงเทปยูเมติกเพื่อเป็นมาสเตอร์เทปแล้ว ก็อัดลงเทป VHS ให้พวกเราซื้อหรือเช่ามาดูอีกทีหนึ่งครับ..ม้วนเทป VHS ที่ถูกอัดมาก็หน้าตาแบบนี้ คงคุ้นเคยกัน..
หลังจากหมดยุคเทปยูเมติก แล้วก็มาเป็นยุคของเทปเบต้า.. เครื่องแบบนี้ครับ..ทำให้บางรายที่เก็บหนังลงเทปยูเมติก ต้องนำมาอัดถ่ายลงเทประบบนี้แทน เขาบอกว่า คุณภาพดีกว่าเทปยูเมติก.. ก็ยังคงใช้ตามสถานีโทรทัศน์ ซึ่งต่อมาเทประบบเบต้านี้ ก็เิลิกอีก กลายเป็นว่า ถ่ายลงคอมฯ ตัดต่อและเก็บลงฮาร์ตดิสต์แทนนะครับ..ส่วนหน้าตาของเทปเบต้าที่ใช้กับเครื่องข้างบน ก็คืออันนี้ครับ..
เอาล่ะครับ.. คราวนี้ มาตรงคำถามที่ว่า สถานีโทรทัศน์เขาจะอัดหนังที่ฉายนั้นลงเทปยูเมติกหรือไม่..ก่อนจะตอบก็ต้องถามว่า คุณเห็นหนังเรื่องนี้ฉายทีวีเมื่อปีไหน..ถ้าตอบปีได้ ก็มีคำตอบครับว่า สถานีเขาทำหรือไม่ โดยให้เทียบเวลาจากการกำเนิดและแพร่หลายของระบบเทปวีดีโอ VHS เป็นหลักเพราะก่อนหน้านั้น ไม่มีใครคิดว่า หนังไทยเก่าๆ จะสามารถเผยแพร่ทางอื่นได้อีกนอกจากฉายทีวี..การฉายหนังไทยเก่าๆ ทางทีวีในสมัยก่อน คิดง่ายๆ ถ้าเป็นหนัง 16 มม.พากย์สดๆ เขาก็จะฉายกันสดๆ พากย์กันสดๆ เลย ใช้เครื่องลักษณะนี้ฉายไปที่จอและใช้กล้องทีวีซูมจับภาพออกอากาศไปเลย.. ขนาดประมาณปี 2524 ที่ผมเริ่มเข้ามาอยู่กรุงเทพฯ และมีโอกาสได้ดูโทรทัศน์สีครั้งแรก พอถึงรายการหนังไทยเก่าๆ แม้จะฉายเป็นหนัง 35 มม.แล้ว เขาก็ยังฉายจากเครื่องฉายจริงๆ สังเกตได้จากระหว่างฉายมีการฉายขาดด้วยและคนคุมรายการก็รับมุกไม่ทัน ปล่อยให้จอขาวๆ บางทีฟิล์มก็ไหม้บนจอให้เห็น นั่นก็แสดงว่า ฉายกันสดๆ ไม่ใ้ช่ฉายจากเทปยูเมติก..สมัยนั้นเทปยูเมติกจะแพงนะครับ ค่าเช่าหนังเรื่องละไม่กี่ร้อยบาท ฉายกันเพียงรอบเีดียว ทีวีเขาไม่อัดไว้หรอกครับ.. จริงอยู่ เราอาจเคยได้ยินว่า สถานีโทรทัศน์เก็บเทปหนังไทยเ่ก่าๆ ไว้ แต่นั่น ก็ไม่ใช่หนัง 16 มม. หากแต่เป็นการเพิ่งเริ่มเก็บเมื่อมีระบบเทปเช่า VHS เป็นตลาดรองรับเพราะจะได้คุ้มกับการลงทุน ดังนั้น หนังที่เก็บส่วนใหญ่จึงเป็นหนังรุ่น 35 มม.ที่บางครั้งก็เป็นการทำจากกากฟิล์มที่มีเส้นฝน บางครั้งก็เป็นการทำจากฟิล์มต้นฉบับที่เจ้าของนำกลับจากเมืองนอก การทำครั้งนี้ ก็เพื่อเป็นสต๊อกวัตถุดิบเพราะตอนนั้นเริ่มมีทีวีระบบเคเบิ้ลกันแล้ว วัตถุดิบจึงจำเป็น ส่วนเจ้าของหนังเองก็วิ่งกันหากากฟิล์ม 35 มม.มาอัดลงเทปยูเมติกเพื่อจะได้ขายเทปให้ทีวีหรือค่ายวีดีโอนะครับ.. หนังไทยเก่าๆ ที่หายไปนั้น จึงเป็นเรื่องที่เจ้าของเขายังหาไม่ได้นะครับ จึงไม่มีการทำออกมา.. สมัยที่หนังไทยยังฉายทางทีวีนั้น ระยะหลังๆ นี้ก็มีผู้ผลิตบางรายนำฟิล์มต้นฉบับ 35 มม.ไปพิมพ์ลดขนาดเป็นฟิล์ม 16 มม.เพื่อให้ง่ายต่อการฉายกับเครื่องข้างบนนะครับ..ซึ่งก็เป็นการช่วยยืดอายุหนังให้ยาวนานขึ้น..