ยินดีต้อนรับคุณ,
บุคคลทั่วไป
กรุณา
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
1 ชั่วโมง
1 วัน
1 สัปดาห์
1 เดือน
ตลอดกาล
เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าวประกาศ:
ครั้งแรกของ มิตร ชัยบัญชา ตำนานพระเอกตลอดกาลบนจอ
Netflix
‘มนต์รักนักพากย์’
เตรียมออกเดินทางไล่ล่าหาความฝันไปกับรถเร่ขายยาคันนี้ได้ใน
มนต์รักนักพากย์ วันที่ 11 ตุลาคมนี้ พร้อมกันบน Netflix
กว่า 190 ประเทศทั่วโลก
•
กำกับโดย:
นนทรีย์ นิมิบุตร
•
นำแสดงโดย:
ศุกลวัฒน์ คณารศ (รับบท มานิตย์), หนึ่งธิดา โสภณ (รับบท เรืองแข), จิรายุ ละอองมณี (รับบท เก่า), สามารถ พยัคฆ์อรุณ (รับบท ลุงหมาน)
หน้าแรก
เว็บบอร์ด
ช่วยเหลือ
ปฏิทิน
เข้าสู่ระบบ
สมัครสมาชิก
เวบบอร์ดสำหรับผู้ชื่นชอบระบบการฉายภาพเคลื่อนไหว
»
ภาพยนตร์ของเรา...การฉายภาพด้วยแผ่นฟิล์ม
»
ชุมทางหนังไทยในอดีต โดย มนัส กิ่งจันทร์
(ผู้ดูแล:
นายเค
,
ฉัตรชัยฟิล์มshop
,
มนัส กิ่งจันทร์
) »
บทที่ 638 ชุมทางหนังไทยในอดีต เสนอฉาย ฟ้าหลังฝน.. รักแท้ ทำไมต้องเสียสละ
« หน้าที่แล้ว
ต่อไป »
พิมพ์
หน้า: [
1
]
ลงล่าง
ผู้เขียน
หัวข้อ: บทที่ 638 ชุมทางหนังไทยในอดีต เสนอฉาย ฟ้าหลังฝน.. รักแท้ ทำไมต้องเสียสละ (อ่าน 1096 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
นายเค
Thaicine Movie Team
Moderator
พี่น้อง thaicine Gold member
กระทู้: 3814
พลังใจที่มี 616
เพศ:
บทที่ 638 ชุมทางหนังไทยในอดีต เสนอฉาย ฟ้าหลังฝน.. รักแท้ ทำไมต้องเสียสละ
«
เมื่อ:
08 มกราคม 2015, 15:49:03 »
บทที่ 638
ชุมทางหนังไทยในอดีต เสนอฉาย
ฟ้าหลังฝน.. รักแท้ ทำไมต้องเสียสละ
โดย มนัส กิ่งจันทร์
(facebook 8 มกราคม 2558)
สวัสดีครับทุกท่าน..
ค่ำคืนนี้ จะเล่าถึงหนังชีวิตรักเรื่อง
ฟ้าหลังฝน
เป็นหนังที่ออกฉายเมื่อ 37 ปีมาแล้ว..
นำแสดงโดย วิฑูรย์ กรุณา-เนาวรัตน์ ยุกตะนันท์-อำภา ภูษิต-ด.ช.อภิรัฐ ชลาชล-เปียทิพย์ คุ้มวงศ์.. สร้างโดย จิรบันเทิงฟิล์ม โดย จิรวรรณ กัมปนาทแสนยากร เป็นผู้อำนวยการสร้าง.. กำกับการแสดงโดย พิศาล อัครเศรณี เข้าฉายรอบมิดไนท์คืนวันที่ 10 พฤษภาคม 2521 ที่โรงหนังโคลีเซี่ยม-เฉลิมไทย-ไดเรคเตอร์และฉายจริงรอบปกติวันที่ 12 พฤษภาคม 2521 ที่โรงหนังโคลีเซี่ยม
หนังเรื่องออกฉายสมัยที่ผมยังเป็นนักเรียนชั้นมัธยมต้น สมัยนั้น นอกจากผมจะอาศัยเวลาว่างวันเสาร์-อาทิตย์หรือช่วงปิดเทอมออกไปฉายหนังกลางแปลงของพ่อเพื่อนแล้ว ในตอนกลางคืนจังหวัดสุรินทร์บ้านผม ก็ชอบมีหนังกลางแปลงมาฉายให้ดูฟรีๆ อยู่เสมอ แม้ตอนนั้นโรงหนังประจำจังหวัดจะมีถึง 4 โรงก็ตาม แต่หนังกลางแปลง ก็ยังเป็นนิยมของชาวบ้าน ไม่ว่าจะเป็นงานบุญ งานพิธีต่างๆ คนจัดงานหรือที่เรียกกันว่า เจ้าภาพ ก็มักจะว่าจ้างหนังกลางแปลงไปฉายให้เพื่อนบ้านละแวกข้างเคียงได้ดูกันอยู่เสมอ เรียกได้ว่า เกิดมาตั้งแต่จำความได้ ผมเองก็ไม่เคยอดดูหนังกลางแปลงเลย.. มีให้ดูแทบทุกคืน หนังกลางแปลงจึงผูกพันกับผมมาตั้งแต่เด็กๆ
สมัยนั้น การดูหนังกลางแปลง อันดับแรกจะเน้นไปที่ชื่อบริการหนังกลางแปลงก่อนว่า เป็นบริการหนังที่ดังหรือไม่ ถ้าดังมากๆ เขาก็จะคิดค่าจ้างแพงๆ ถ้าดังพอเป็นพื้นๆ ก็จะคิดค่าจ้างราคาเป็นกันเอง ลองเทียบราคาดูก็ได้ครับ ถ้าเป็นหนังกลางแปลงระดับพื้นๆ ที่เจ้าภาพมีสิทธิเลือกหนังเองได้เพียง 1-2 เรื่องจากที่จ้างไปฉาย 5 เรื่องโต้รุ่งยันสว่างนั้น ช่วงประมาณปีที่หนังเรื่อง
ฟ้าหลังฝน
มาฉายก็คือ
ช่วงปี 21-22 นั้น ค่าจ้างจะอยู่ที่ราคา 2,500-3,500 บาท ก็ฉายได้ทั้งคืนแล้ว
ขณะที่ถ้าเป็นบริการหนังดังๆ และเจ้าภาพเป็นคนเลือกหนังเองทั้งหมด 5 เรื่องแล้ว
ค่าจ้างก็จะอยู่ที่ราคา 8,000-15,000 บาท
ห่างกันลิบครับ.. ยิ่งถ้าเลือกหนังดังๆ ไปฉายมากๆ ด้วย ก็จะยิ่งแพงขึ้นอีก
สมัยเป็นเด็กนักเรียน พอตกเย็นๆ หลังจากเลิกเรียนแล้ว ก่อนจะกลับถึงบ้าน ผมมักจะปั่นจักรยานสองล้อไปรอบ ๆ ตัวเมืองก่อน ทำแบบนี้ทุกๆ วัน เราจะเรียกพฤติกรรมนี้ว่า เป็นการไป สืบหนัง กันครับ คือหมายความว่า เพื่อนๆ แต่ละคนก็จะปั่นจักรยานออกตระเวนหาดูว่า คืนนั้นจะมีหนังกลางแปลงฉายที่ไหนกันบ้าง ก็สังเกตได้ไม่ยากเพราะเวลาจะมีหนังกลางแปลงมาฉาย เขาจะต้องมีงานบุญ งานพิธีต่างๆ ตามบ้านหรือตามวัดวาอารามต่างๆ เวลาปั่นจักรยานไป หูเราก็ต้องคอยเงี่ยฟังเสียงลำโพงเครื่องขยายที่หนังกลางแปลงชอบเปิดเพลงดังๆ สมัยก่อนเขาใช้เครื่องขยายเสียงหลอด แค่ 500 วัตต์ก็ดังลั่นสนั่นเมืองแล้วครับ พอสืบจนรู้ว่าที่ไหนมีหนังกลางแปลง พวกเราก็จะพากันไปดู ถ้าไกลๆ หน่อย ก็จะปั่นจักรยานไป ถ้าใกล้ๆ ก็จะเดินไป.. แต่ผมนิยมเดินไปเพราะจะได้เข้าไปดูใกล้ๆ เครื่องฉายหนัง จะได้แอบสำรวจ แอบดูว่าบริการหนังเจ้านี้ เขาก้าวหน้าไปถึงไหนกันบ้าง..
หนังที่ผมจะเล่าในวันนี้ ก็เป็นความประทับใจเรื่องหนึ่งที่เคยดูจากจอหนังกลางแปลง กะดูวันฉายครั้งแรกในกรุงเทพฯ แล้วคำนวนคร่าวๆ ก็คิดว่า ผมจะต้องได้ดูหนังเรื่อง ฟ้าหลังฝน นี้หลังวันฉายจริงๆ เป็นปีแน่นอนเพราะหนังกลางแปลง จะต้องรอให้หนังจากออกจากโรงต่างจังหวัดก่อน จึงจะฉายได้ คิดว่า ตอนนั้นผมอายุน่าจะราวๆ 16 -17 ปีแล้วมั้ง.. ความที่สมัยนั้น ผมเป็นคนดูหนังไม่เลือกอยู่แล้ว แรกๆ เห็นชื่อ ฟ้าหลังฝน ก็งั้นๆ แหละครับ ไม่ค่อยสนใจเท่าไร แต่เมื่อมาฉายให้ดูกันฟรีๆ ก็ดูไปเรื่อยๆ ความรู้สึกเมื่อดูหนังจบขณะนั้น ก็ยอมรับว่า ดีใจมากๆ ที่ได้ดูหนังเรื่องนี้ รู้สึกว่าชอบมากๆ ด้วย ผมเป็นคนที่ชอบดูหนัง แล้วชอบคิดตามหนังว่า ถ้าเราเป็นผู้แสดง เราจะตัดสินใจอย่างไรกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหนัง..คำว่า หนังสอนคน ไม่ผิดเลยครับ คนต่างจังหวัดอย่างผม หนังมีอิทธิพลอย่างมากเพราะเป็นแหล่งเรียนรู้ทุกอย่าง ที่ดูแล้วไม่เคยรู้สึกเบื่อหน่ายเหมือนอ่านตำราเรียน แม้หนังจบแล้ว ยามใดว่างๆ ผมก็มักจะเก็บเอาเรื่องของหนังมาคิดอยู่เสมอ ชอบคิดว่า ทำไมคนนั้นต้องทำอย่างนั้น ทำไมเขาไม่ทำอย่างนี้บ้าง
วันเวลาผ่านไปจนผมเข้ามาเรียนที่กรุงเทพฯ ผมก็ได้มีโอกาสเจอกับเรื่องราวของ ฟ้าหลังฝน อีกครั้ง แต่ไม่ใช่เจอหนังนะครับ.. แต่เจอสถานที่ที่เขาถ่ายทำหนังเรื่อง ฟ้าหลังฝน นั่นคือ มหาวิทยาลัยรามคำแหง หัวหมาก.. ผมเดินสำรวจเส้นทางที่หนังเรื่องนี้ถ่ายทำ พร้อมๆ กับคิดว่า นี่ไง สิ่งที่เราเคยเห็นในหนัง..วันนี้ เราได้มาเห็นสถานที่จริงๆ แล้ว มันรู้สึกดีใจแปลกๆ อย่างไงก็ไม่รู้ ก่อนที่ผมจะได้เจอกับสถานที่ถ่ายหนังนั้น ผมก็ฟังเพลง
พะวงรัก
ซึ่งเป็นเพลงเอกของหนังเรื่องนี้มาตลอด ได้ยินเพลงนี้ทีไร ภาพเหตุการณ์จากหนังก็มักจะผุดขึ้นมาให้นึกถึงทันที เพลงพะวงรัก จึงมีส่วนช่วยทำให้ผมคิดถึงหนังเรื่องนี้ อยากดูหนังเรื่องนี้อีก..แต่ตอนนั้น ก็หาหนังดูไม่ได้
รามคำแหง
สำหรับผมแล้วเป็นอะไรที่ไม่เคยคิดมาก่อนว่า จะได้เข้าไปเห็น จะได้เข้าไปเรียนเพราะคนบ้านผมลือกันว่า ที่นั่น เข้าง่าย ออกยาก ผมเองก็กลัว ไม่กล้าพูดกับใครๆ ว่าถ้าจบ ม.ศ.5 แล้วเอ็นไม่ติด จะไปเรียนที่ไหนต่อ.. แต่ไม่รู้อะไร ทำให้พี่เขยผมบอกว่า ให้ผมไปเรียนรามฯ แล้วจะให้อยู่บ้านฟรี กินฟรี แต่ต้องช่วยงานบ้านและบอกพ่อแม่ผมให้ส่งเงินมาเพียงเดือนละ 500 บาทเท่านั้น แต่ถ้า 4 ปีเรียนไม่จบ เขาจึงจะเริ่มเก็บเงินค่าใช้จ่ายในบ้าน ผมจึงได้มาเรียนรามโดยบังเอิญแท้ๆ ขณะที่เพื่อนๆ ที่จบ ม.ศ.5 แล้วนัดกันว่า จะมาเรียนราม ก็มีอัน มาไม่ได้กันหลายคน.. แรกๆ ก็เหมือนอยู่ตัวคนเดียวเพราะเพื่อนๆ ที่สนิทกัน มาเรียนไม่ได้สักคน แต่ก็ดีที่ได้เพื่อนใหม่ แม้จะต่างโรงเรียน แต่ก็เป็นคนจังหวัดสุรินทร์เหมือนกัน.. ยามเหงาๆ จากการเรียน เสียงเพลงและหนังเท่านั้นที่ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้น
ผมมีโอกาสเจอหนังเรื่อง
ฟ้าหลังฝน
อีกครั้ง จริงๆ ก็ตอนที่เรียนจบรามฯแล้วและได้ดูทางช่องไอบีซีเคเบิ้ลทีวี พอเห็นตารางวันฉาย ผมก็ตั้งหน้าตั้งตารอดู..ดูอย่างเดียวกลัวไม่อิ่ม ก็อัดเทปไว้ดูซ้ำอีก.. การดู ฟ้าหลังฝน ครั้งแรกที่เป็นหนังกลางแปลงกับการได้ดูอีกครั้งทางโทรทัศน์ บอกตรงๆ ว่า ความรู้สึกผมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย เคยรู้สึกดีๆ หรือชอบอย่างไร ก็ยังคงเป็นอย่างนั้น ดาราที่ผมอยากพูดถึงมากที่สุดในเรื่องนี้ก็คือ อำภา ภูษิต เพราะเธอช่างเล่นได้น่าสงสารจริงๆ ไม่รู้ว่าชีวิตจริง จะมีใครเป็นอย่างเธอบ้าง ในเรื่องเธอชื่อ นี.. เธอกับวิฑูรย์ กรุณา พระเอกของเรื่อง ใช้ชีวิตร่วมกันในบ้านเช่ากลางสลัม (ชุมชนแออัด) เธอก็ทำงานรับจ้างไปทั่ว ส่วนวิฑูรย์ ในเรื่องชื่อ การันต์ ก็เรียนรามคำแหง ในหนังบอกว่า เป็นคณะเศรษฐศาสตร์ ดูแล้วเหมือนกับว่า เธอเป็นฝ่ายส่งเสียให้วิฑูรย์เรียน วิฑูรย์เองก็สัญญาว่า ถ้าเรียนจบจะย้ายออกจากสลัม จะไม่ให้เธอลำบาก ชีวิตจะมีความสุขมากกว่านี้..
แต่ขณะที่อีกภาพหนึ่งของวิฑูรย์ยามที่อยู่ในมหาวิทยาลัย ท่ามกลางเพื่อนๆ เขาจะเป็นคนโสด ในกลุ่มนี้ก็มี เนาวรัตน์ ยุกตะนันท์ ลูกสาวเศรษฐีมาติดพัน รู้กันในหมู่เพื่อนฝูงว่า เธอแสดงตัวเป็นแฟนของวิฑูรย์ หมายมั่นกันว่า เมื่อเรียนจบจะแต่งงานกัน ...โดยที่อำภาไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน..
พอวิฑูรย์ใกล้เรียนจบ อำภาก็เริ่มตั้งท้องและรู้จากพี่หวาน (เปียทิพย์) ซึ่งเป็นโสเภณีว่า มีเนาวรัตน์มาติดพันวิฑูรย์ เธอจึงตามไปแอบดู จนเห็นว่าเป็นจริง.. ลองคิดซิครับว่า ถ้าชีวิตจริงสมัยนี้ ถ้าเมียรู้ว่า ผัวไปติดพันหญิงอื่นจะเป็นอย่างไร จะตบตีกันเหมือนอย่างที่หนังสือพิมพ์ลงข่าวกันหรือเปล่า.. แต่สำหรับอำภาแล้ว บทที่ส่งให้เธอมา เธอต้องทำหน้าที่ คนรักที่เสียสละ.. เสียสละให้คนที่เธอรักคือวิฑูรย์ไปมีความสุขกับหญิงอื่น เพียงเพราะหญิงอื่นนั้นรวยกว่า ผัวเธอจะได้สุขสบาย..ภาพที่เธอแอบไปเห็นผัวอยู่กับหญิงอื่น แล้วมีความสุขเพียบพร้อม ทำให้วันนั้นเธอตัดสินใจอุ้มท้องหนีไปอยู่ที่อื่น เรียกว่า ทำตัวหายไปเลย เธอไปเป็นกรรมกรก่อสร้าง..แต่ใช่ว่า หนังจะโหดร้ายวิฑูรย์ก็ยังตามหาเธอและรอเธออยู่เกือบ 2 ปีจึงตัดสินใจแต่งงานกับเนาวรัตน์..แต่หนังก็สอนให้เรารู้ว่า อะไรที่เคยมี เคยผูกพัน มักจะลืมกันไม่ลง..ยิ่งรู้ว่าอำภาหนีไปทั้งๆ ที่ตั้งท้องด้วย ก็ยิ่งทำให้วิฑูรย์คิดหนัก..คิดถึงเมียคิดถึงลูก
อำภาหนีไปถึง 7 ปี จึงได้พบกับพี่หวานอีกครั้ง แต่ก็เหมือนเป็นการพบเพื่อสั่งลาเพราะต่อมาเธอก็ต้องสิ้นใจตาย ก่อนตายเธอได้ฝากลูกชายคือ ด.ช.โอปอ ไว้กับพี่หวาน พร้อมกับมอบรูปถ่ายของวิฑูรย์ผู้เป็นพ่อโอปอไว้ด้วย แต่กำชับว่าโอปอว่า ถ้าเจอพ่อ อย่าไปทำให้พ่อเดือดร้อน..
โลกมันก็กลมจริงๆ ครับ จับพลัดจับพลู่ โอปอที่ตกระกำลำบาก ก็มาเป็นเด็กรับใช้ของวิฑูรย์ซึ่งเป็นพ่อตัวเอง ตอนนนั้น พ่อน่ะก็ยังไม่รู้หรอกว่าโอปอเป็นลูก แต่ลูกนั้นรู้แล้ว แต่เพราะรักแม่ เชื่อคำแม่ จึงไม่กล้าจะบอกพ่อ ยิ่งมารู้ว่า พ่อถูกเนาวรัตน์ยืนคำขาดว่า จะเลือกใครระหว่างเธอกับโอปอด้วยแล้ว ก็ทำให้โอปอรู้ว่า ตัวเองเป็นต้นเหตุที่ทำให้พ่อต้องเดือดร้อน จึงหนีออกจากบ้านไป ไปร้องไห้ฟูมฟายที่โลงศพแม่ในป่าช้า.. ขณะที่วิฑูรย์ก็ตัดสินใจเลือกที่จะหิ้วกระเป๋าใบเดียวออกจากบ้านเนาวรัตน์เพื่อจะไปอยู่กับลูก..
ที่ผมเล่ามายาวเหยียด ไม่ใช่อะไร เผื่อว่าใครที่ยังไม่เคยดูหนัง จะได้รู้เรื่องบ้าง แต่ถ้าอยากให้ได้อารมณ์ชัดๆ ก็ต้องไปหาหนังมาดูนะครับ.. ผมว่าหนังเรื่องนี้มันสอนเรา..สอนให้เราเป็นคนดี คนเสียสละ อาจจะเสียสละจนเกินไป..แต่ลองคิดเล่นๆ ว่า ถ้าเราเป็นตัวอำภาเจอกับสภาพนี้ แล้วจะทำอย่างไร โลกยุติธรรมแล้วหรือ..ทำไมรักแท้ต้องเสียสละตลอดไป.. ใครที่เคยผ่านจุดๆ นี้ไปแล้ว คงจะได้คำตอบว่า อำภา เธอไม่ได้คิดผิด.. ผมว่า เหตุผลหลักๆ ที่เธอจำใจไปจากวิฑูรย์ก็เพราะว่า เธอรักเขามากเกินไป ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกัน วิฑูรย์จะพูดตอกย้ำเสมอว่า เขาไม่ต้องการชีวิตในสลัมแบบนี้ประกอบกับเธอไม่สามารถส่งเสริมให้วิฑูรย์ไปถึงจุดนั้นได้ง่ายๆ เมื่อได้เห็นเนาวรัตน์ซึ่งงามพร้อมทั้งรูปและสมบัติ เธอจึงต้องเสียสละให้คนที่เธอรัก ไปมีความสุข ซึ่งเธอคิดว่าจะมีความสุขยิ่งกว่าอยู่กับเธอ..
ภาพที่ผมเห็นจากหนัง อำภาจะเป็นคนสวยตาเศร้าๆ ดูแล้วน่าสงสารมากครับ..น่าสงสารจนไม่รู้ว่า วิฑูรย์จะตัดสินใจอย่างไร ถ้าหากสาวสองคนมาเผชิญหน้ากันตรงๆ วิฑูรย์คงจะลำบากใจแน่ๆ ระหว่างเมียที่เป็นเหมือนเพื่อนคู่ทุกข์คู่ยากกับหญิงสาวที่มาใหม่ มาอย่างคนฟุ้งเฟ้อ แม้หนังจะไม่ได้ให้ทั้งคู่เผชิญหน้ากันตรงๆ แต่ความกระอักกระอ่วนใจของวิฑูรย์ ก็ทำให้เราเห็นได้ชัดเมื่อวิฑูรย์บอกเนาวรัตน์ว่า จะขอนำลูกโอปอมาอยู่ที่บ้านด้วย..เนาวรัตน์นอกจากจะปฏิเสธแล้ว เธอยังพูดจาก้าวร้าวผู้เป็นสามีและขู่แกมบังคับให้เลือกว่า ถ้าเลือกลูก ก็จะไม่มีเธอ.. ทำเหมือนกับบอกให้รู้ว่า ถ้าเลือกเธอ วิฑูรย์ก็จะยังมีทรัพย์สมบัติอยู่ทุกอย่าง แต่ถ้าเลือกลูก ก็ต้องออกจากบ้านไป
ตอนผมดูครั้งแรก ผมก็เลือกแทนวิฑูรย์ไปทันที ..ผมเลือกที่จะเอาลูกไว้ก่อน..ศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์มิใช่อยู่ที่ทรัพย์สินเงินทอง แต่อยู่ที่คุณค่าที่ทุกคนควรจะมีอยู่ในใจ.. หนังเรื่องนี้เองที่สอนให้คนจนๆ อย่างผม ได้รู้จักเจียมเนื้อ เจียมตัว ไม่เคยอาจเอื้อมไปมองผู้หญิงที่รวยกว่า ยิ่งถ้าต้องแต่งงานแล้ว ต้องไปอยู่บ้านฝ่ายหญิงด้วย ผมนี่ กลัว กลัวมาตั้งแต่รุ่นๆ เลยครับ..กลัวว่า สักวันหนึ่งตัวเองจะต้องเหมือนวิฑูรย์ในเรื่องนี้ ความที่เห็นว่า เป็นหนังดี เมื่อเจอเพื่อนๆ ก็มักจะแนะนำให้ดูเรื่องนี้ตลอดมา เคยยุให้คุณโต๊ะ พันธมิตร ทำวีดีโอขาย ตอนนั้นแกก็บอกว่า หนังมันยังไม่เก่าพอ..อ้าว ไม่ว่ากัน จนเมื่อเห็นโรสวีดีโอ ทำวีซีดีเรื่องนี้ออกขาย ผมก็ซื้อมานั่งดู นอนดู ดูแล้ว ปลื้มใจกับที่หนังเรื่องนี้ที่ทำให้ผมคิดถึงอดีตได้มากมาย..
ฟ้าหลังฝน
เป็นหนังรักแท้ๆ เข้าทำนอง รักแท้ต้องเสียสละ ซึ่งผู้แสดงไม่ว่าจะเป็น อำภา ภูษิต-วิฑูรย์ กรุณา-เด็กชายอภิรัฐ ล้วนแล้วแต่ถ่ายทอดอารมณ์การแสดงได้เป็นอย่างดี ทั้งเพลง พะวงรัก ที่นำมาประกอบหนังก็เข้ากับเนื้อหาและอารมณ์หนังได้เป็นอย่างดีเพราะชีวิตรักของณีช่างน่าสงสารและน่าเศร้านัก จึงเหมาะสำหรับผู้ที่กำลังมีความรักที่จักได้เรียนรู้ ดูเป็นตัวอย่างเพื่อจะได้เข้าใจถึงแก่นแท้ของคำว่า รักแท้ๆ นั่นเป็นอย่างไร..
ฟังเพลง พะวงรัก
จากกากฟิล์มของกรุโรงหนังเฉลิมเอก ร้อยเอ็ด นะครับ...
พะวงรัก-ฟ้าหลังฝน 2521 วิฑูรย์-อำภา
คลิกชม..
--------------------------
หนังเรื่องนี้ ถ้าใครดูแล้ว..ไม่เสียน้ำตาให้ อำภาและ ด.ช.อภิรัฐ ก็นับว่าใจแข็งดั่งภูผาหินจริงๆ ครับ..ก็อย่างที่พี่เห้าเหลียงบอกไว้ แจ้งเกิดให้พิศาลในด้านการกำกับการแสดง และแจ้งเกิดให้อำภา ภูษิต ด้วย แม้เธอจะเล่นเพียงครึ่งเรื่องเท่านั้น แต่บทบาทเธอก็ทำให้คนดูรู้สึกเหมือนกับว่า เธออยู่กับเราตลอดเรื่องโดยเฉพาะเมื่อลูกโอปอร้องไห้คร่ำครวญถึงแม่...และบอกให้ทราบว่า เสียงพากย์ที่พากย์เด็กชายโอปอเมื่อปี 2521นั้นก็คือ เสียงของพี่ตุ๊กตา จินดานุช เองนะครับ..ไม่รู้ว่า ตอนนั้นพากย์ไป ร้องไห้ไปหมดผ้าเช็ดหน้าไปกี่ผืน..
ต่อ แสงมา
อรรถรสในการอ่านผ่านตัวอักษรไม่มีอะไรยอกย้อนนักหากต้องตระหนักถึงศีลธรรมความถูกต้อง เลือกผิดย่อมเป็นกรรมกำหนดให้เป็นไป เมียคนยากที่มีลูกด้วยควรแล้วหรือที่จะเสียสละดีเกินปุถุชน หากแต่ว่าเป็นการแสดงคงมีคนทำได้น้อยมากในชีวิตจริงครับ
ทศพร นานามั่นคง
เ
คยดูตอนเด็กๆ จำไม่ได้ว่าที่ไหน เป็นหนังกลางแปลง ร้องไห้กันหลายคน ผมเองก็น้ำตาซึม มาดูอีกทีเมื่อ 2-3 ปีก่อน ก็ยังน้ำตาซึม ยิ่งช่วงที่เปิดเพลง พะวงรัก ประกอบด้วยนะ สุดยอด
ร้อยโท นกน้อย
ชอบเปียทิพย์ครับ ในตอนแรกหนังทำให้ดูเหมือนเป็นผู้หญิงออกแรดๆ (พูดตามตรง ตามบทและพล็อตเรื่อง เพราะวิฑูรย์ในเรื่องก็ออกจะคิดแบบเดียวกันในตอนแรก และผมก็นึกคำอธิบายความกับบทของเปียทิพย์ไม่ออกด้วย) แต่พอมาตอนกลางๆจนถึงท้ายเรื่องกลับมีบทเด่น และแสดงความเป็นคนดีออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติ (วิฑูรย์ก็รู้สึกผิดที่เคยมองเปียทิพย์ผิดไป และขอโทษเปียทิพย์ในตอนท้ายเรื่อง) ซึ่งคนในสังคมแบบเปียทิพย์นั้นมีอยู่เยอะครับ ที่ดูภายนอกเหมือนไม่ดีตามคติค่านิยมของคนทั่วไป แต่จริงๆแล้วนิสัยใจคอดีมากๆ
ศุภกร โพธิ์เอม
ผมก้อชอบหนังเรื่องนี้มว๊ากๆเช่นกานคับผม (vcd ของค่ายเล็ปโส้ แต่ความคมชัดจาน้อยกว่าของโรสวีดีโอนิดนึงคับผม)
บันทึกการเข้า
สรพงษ์ ลิ้มทองคำ
5 หมู่ 7 ต.คลองตาคต อ.โพธาราม ราชบุรี 70120 E-Mail
soraphol@hotmail.com
ธ.กรุงเทพ ออมทรัพย์ สาขา อาคารยาคูลท์ สนามเป้า หมายเลขบัญชี 210-036236-3
ธ.ไทยพาณิชย์ ออมทรัพย์ สาขา บางเขน หมายเลขบัญชี 041-273435-0
ติดต่อ 0909040355
ชมรมรักหนังกางแปลง โพธาราม ราชบุรี เรามาคุยกันได
นายเค
Thaicine Movie Team
Moderator
พี่น้อง thaicine Gold member
กระทู้: 3814
พลังใจที่มี 616
เพศ:
Re: บทที่ 638 ชุมทางหนังไทยในอดีต เสนอฉาย ฟ้าหลังฝน.. รักแท้ ทำไมต้องเสียสละ
«
ตอบกลับ #1 เมื่อ:
08 มกราคม 2015, 15:55:52 »
เรื่อย่อ ฟ้าหลังฝน จากวารสารภาพยนตร์
บันทึกการเข้า
สรพงษ์ ลิ้มทองคำ
5 หมู่ 7 ต.คลองตาคต อ.โพธาราม ราชบุรี 70120 E-Mail
soraphol@hotmail.com
ธ.กรุงเทพ ออมทรัพย์ สาขา อาคารยาคูลท์ สนามเป้า หมายเลขบัญชี 210-036236-3
ธ.ไทยพาณิชย์ ออมทรัพย์ สาขา บางเขน หมายเลขบัญชี 041-273435-0
ติดต่อ 0909040355
ชมรมรักหนังกางแปลง โพธาราม ราชบุรี เรามาคุยกันได
พิมพ์
หน้า: [
1
]
ขึ้นบน
« หน้าที่แล้ว
ต่อไป »
เวบบอร์ดสำหรับผู้ชื่นชอบระบบการฉายภาพเคลื่อนไหว
»
ภาพยนตร์ของเรา...การฉายภาพด้วยแผ่นฟิล์ม
»
ชุมทางหนังไทยในอดีต โดย มนัส กิ่งจันทร์
(ผู้ดูแล:
นายเค
,
ฉัตรชัยฟิล์มshop
,
มนัส กิ่งจันทร์
) »
บทที่ 638 ชุมทางหนังไทยในอดีต เสนอฉาย ฟ้าหลังฝน.. รักแท้ ทำไมต้องเสียสละ