ชื่อไทย : เบลด รันเนอร์ 2049
ปีที่เปิดตัว : 2560
เข้าฉายในไทย : 5 ตุลาคม 2560
นำแสดง : Ryan Gosling, Harrison Ford, Jared Leto
กำกับโดย : Denis Villeneuve
เขียนโดย : Hampton Fancher, Michael Green, Philip K. Dick
ประเภท : Sci-Fi / Thriller
ความยาว : 163 นาที
เรต : R
เรตไทย : น 15+
สร้างโดย : UK / USA / Canada
จำหน่ายโดย : Sony Pictures
เรื่องย่อ blade runner 2049 เบลด รันเนอร์ 2049 อภิมหาภาพยนตร์แอ็คชั่น-ไซไฟ เรื่องราวของมนุษย์เทียม มนุษย์ที่ถูกดัดแปลงพันธุกรรมออกแบบโดย ไทเรลคอร์ปอเรชั่น เพื่อนำไปใช้ในอวกาศถูกใช้เป็นกำลังเสริมให้เป็นทาส หลังจากการก่อกบฏที่รุนแรงหลายครั้ง ความผิดพลาดของมันกลายเป็นสิ่งต้องห้าม และไทเรลคอร์ปจึงล้มละลายไป ในที่สุดมนุษย์เทียมสายพันธุ์ใหม่จึงถูกสร้างขึ้นมา มนุษย์เทียมรุ่นเก่าจึงถูกตามล่าและปลดระวาง และคนที่ตามล่าพวกมันยังคงใช้ชื่อว่า...เบลด รันเนอร์
"เค" นำแสดงโดย ไรอัน กอสลิ่ง ตำรวจ แอลเอพีดี ถูกไล่ล่าจากกลุ่มมนุษย์เทียมรุ่นใหม่ เขาต้องออกตามหา "ริค เด็คการ์ด" นำแสดงโดย แฮร์ริสัน ฟอร์ด ตำรวจแอลเอพีดี เบลด รันเนอร์ ที่หายสาบสูญตัวไปกว่า 30 ปี เพราะเขาคนนี้คือคนที่กุมความลับที่จะนำไปส่จุดจบของมวลมนุษย์
เรื่องราวของมนุษย์เทียม มนุษย์ที่ถูกดัดแปลงพันธุกรรมออกแบบโดย ไทเรลคอร์ปอเรชั่น เพื่อนำไปใช้ในอวกาศถูกใช้เป็นกำลังเสริมให้เป็นทาส หลังจากการก่อกบฏที่รุนแรงหลายครั้ง ความผิดพลาดของมันกลายเป็นสิ่งต้องห้าม และไทเรลคอร์ปจึงล้มละลายไป ในที่สุดมนุษย์เทียมสายพันธุ์ใหม่จึงถูกสร้างขึ้นมา มนุษย์เทียมรุ่นเก่าจึงถูกตามล่าและปลดระวาง และคนที่ตามล่าพวกมันยังคงใช้ชื่อว่าเบลด รันเนอร์ เค (ไรอัน กอสลิ่ง) ตำรวจ แอลเอพีดี ถูกไล่ล่าจากกลุ่มมนุษย์เทียมรุ่นใหม่ เขาต้องออกตามหา ริค เด็คการ์ด (แฮร์ริสัน ฟอร์ด) ตำรวจแอลเอพีดี เบลด รันเนอร์ ที่หายสาบสูญตัวไปกว่า 30 ปี เพราะเขาคนนี้คือคนที่กุมความลับที่จะนำไปสู่จุดจบของมวลมนุษย์
เชื่อว่าแฟนหนังไซไฟต้องตั้งตานับวันรอกันเลยทีเดียว สำหรับ Blade Runner 2049 ภาพยนตร์ไซไฟสุดล้ำ ซึ่งเป็นภาคต่อจาก Blade Runner (1982) ที่ถือเป็นงานระดับตำนานของวงการภาพยนตร์ การถูกนำมาสร้างภาคต่อในครั้งก็ได้รับกระแสตอบรับไปหลายทางทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย แต่สิ่งหนึ่งสามารถการันตีคุณภาพและความสนุกของหนังเรื่องนี้เมื่อเข้าโรงฉายไปแล้วก็คือได้รับคำชมจากนักวิจารณ์ด้วยคะแนนอันสูงลิ่ว ซึ่งสร้างปรากฏการณ์ที่ผู้กำกับทั้งไทยและต่างประเทศออกมาชื่นชม รวมทั้งยกให้เป็นหนึ่งในลิสต์หนังที่ควรดู มาดูกันว่า Blade Runner 2049 มีอะไรดีถึงทำให้ทุกคนออกมาพูดเป็นเสียงเดียวกัน
Blade Runner 2049 ว่าด้วยเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังจากภาคก่อนหน้าถึง 30 ปี เค เจ้าหน้าที่กรมตำรวจแอลเอ ในฐานะเบลดรันเนอร์คนใหม่ ผู้ค้นพบความลับที่ถูกเก็บซ่อนมาอย่างยาวนาน โดยความลับนี้อาจทำให้สังคมเกิดความโกลาหลขึ้นได้ ซึ่งการค้นพบของเค ทำให้เขาได้พบกับ ริค เด็คการ์ด อดีตเบลดรันเนอร์ที่หายตัวอย่างลึกลับมากว่า 30 ปี
หลังจากที่ทำให้เราตกอยู่ในความพิศวงจากผลงานเรื่องล่าสุดอย่าง Arrival (2016) ไปเมื่อปีที่แล้ว มาในปี Denis Villeneuve ผู้กำกับชาวแคนาดาก็ยังรักษาฟอร์มการสร้างภาพยนตร์ที่เปี่ยมไปด้วยคุณภาพไว้เป็นอย่างดี ด้วยเรื่องราวที่เอื้อต่อเทคโนโลยีการสร้างในปัจจุบัน ทำให้ฉากต่างๆ ที่ปรากฏในเรื่องมีความสมจริง ทำให้ผู้ชมเข้าถึงอารมณ์ในเรื่องได้มาก และไม่ต้องพูดถึงโปรดักชั่นที่อลังการงานสร้างทำออกมาได้สมบูรณ์แบบ
ด้วยความที่เป็นหนังไซไฟ หากใครหาฉากมันๆ ที่แอ็คชั่นระห่ำคงจะมาดูผิดเรื่อง เพราะ Blade Runner 2049 นั้นเน้นให้เห็นงานภาพที่สวยงาม และเรียกว่าอาจจะถูกหลักองค์ประกอบไปเสียแทบทุกฉาก เชื่อว่าคนที่รักงานศิลปะทั้งหลายสมควรมาดูเป็นอย่างยิ่ง และหากใครคิดจะมาชมภาพยนตร์เรื่องนี้แนะนำว่าควรเปิดหู เปิดตา เปิดใจ เตรียมพร้อมรับความบันเทิง แม้ว่าตัวหนังอาจจะมีความเอื่อยไปบ้าง ก็เพราะจะได้เสพงานภาพได้อย่างเต็มอิ่ม
อีกส่วนประกอบหนึ่งของหนังที่จะไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือนักแสดง แม้ว่าจะไม่ได้มีบทพูดอะไรมากมาย เน้นการสื่ออารมณ์ทางกายเสียเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งก่อให้เกิดเสน่ห์ที่ประกอบรวมกันกลายเป็นหนังเรื่องนี้ นอกจากนั้นหลักใหญ่ใจความที่หนังต้องการจะสื่อมาตั้งแต่ภาคแรกก็ยังคงเป็นเรื่องราวที่สะท้อนให้เห็นปัญหาที่ยังมีในทุกยุคทุกสมัย คือ ความไม่เท่าเทียม การค้นหาความหมายของการเป็นมนุษย์ แท้จริงแล้วมันวัดกันตรงไหน ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่เราต้องไปหาคำตอบกันเอาเอง โดยส่วนตัวเชื่อว่า Blade Runner 2049 ต้องคว้ารางวัลออสการ์ไม่รางวัลใดก็รางวัลหนึ่งแน่นอน
Blade Runner 2049 (2017) ของผู้กำกับ เดนิส วีลเนิฟ นั้นไม่ใช่แค่โดดเด่นในฐานะหนังไซ-ไฟสุดอลังอันเป็นภาคต่อของ Blade Runner (1982, ริดลีย์ สก็อตต์) เท่านั้น แต่มันยังเต็มไปด้วยความยิ่งใหญ่ของงานด้านภาพและดีไซน์ ไม่ว่าจะภาพแลนสเคปเผยให้เห็นโลกอนาคตล่มสลายและแห้งแล้ง, คลับผุพัง, ตึกหน้าตาแข็งกระด้าง และพิพิธภัณฑ์หน้าตาทรุดโทรม
ความยากเย็นของการสร้างสิ่งละพันอันละน้อยเหล่านี้คือ ต้องสร้างทุกอย่างบนเงื่อนไขที่ว่า 1.) มันต้องดูเป็นโลกอนาคต 2.) แต่ต้องเป็นอนาคตที่ล่มสลาย 3.) ต้องมีสิ่งที่ดูล้ำยุค 4.) แต่ต้องไม่ล้ำจนคนดู (ซึ่งอยู่ในยุคปัจจุบัน) ต่อไม่ติด และ 5.) ต้องเชื่อมโยงกับหนังภาคแรกด้วย!
งานหนักจึงตกอยู่ที่โปรดักชั่นดีไซเนอร์อย่างผู้กำกับภาพคู่บุญของวีลเนิฟอย่าง โรเจอร์ เดียกินส์ (No Country for Old Men, Skyfall, Prisoners, Sicario) ที่วีลเนิฟเรียกตัวให้เข้ามาช่วยออกแบบโลกในหนังและดูสตอรี่บอร์ดด้วยกันตั้งแต่เริ่มถ่ายทำ
“ปกติผมมักสร้างสตอรี่บอร์ดเองคนเดียว แต่กับเรื่องนี้ ผมต้องการให้มีคนมาช่วยดูอยู่ข้างๆ อย่างการคิดบทพูดหรือออกแบบโลกในอนาคตของหนัง เราใช้เวลาอยู่ด้วยกันหลายสัปดาห์ทีเดียว และไม่ใช่แค่หน้าตาของตึกรามบ้านช่องหรือภาพวิวทิวทัศน์เท่านั้น พวกเราออกแบบกฎหมายของโลกข้างหน้า คิดตรรกะและระบบของสังคมนั้นด้วย” วีลเนิฟว่า
ในหนัง เราจึงพบตึกรามบ้านช่องหน้าตาแข็งๆ และจืดชืดจนแทบดูไม่สมกับเป็นโลกอนาคตอันศิวิไลซ์ ด้วยฝีมือของ เดนนิส กาสเนอร์ โปรดักชั่นดีไซน์ที่ออกแบบให้มันดูสมกับเป็นอาคารในโลกที่ล่มสลายและสิ้นหวัง ผ่านสถาปัตยกรรมแบบตึกคอนกรีตเปลือย (Brutalism) ที่เต็มไปด้วยเหลี่ยมคม โชว์พื้นผิวของวัสดุที่ใช้ประกอบสร้างเป็นตัวตึก
งานสร้างสุดอลังของกาสเสอร์ขานรับกับงานภาพของเดียกินส์เป็นอย่างดี เดียกินส์ออกตัวว่าเขาไม่เคยดูหนังภาคแรกและงานของ จอร์แดน โครเน็นเว็ธ (ผกก.ภาพ Blade Runner) “ผมทำแสงในหนังแบบที่จอร์แดนทำไม่ได้ เวลาต่างกัน ความรู้สึกของแสงในหนังก็ต่างกัน ผมว่ามันคงไม่เป็นที่พอใจเท่าไหร่ถ้าต้องลอกงานของใครสักคนหนึ่งน่ะ
“เราต้องถ่ายทำตามสตอรี่บอร์ดที่เราวางไว้อย่างละเอียด เพราะมันคือโลกที่เราออกแบบมาแล้วอย่างดี”
“แต่มีครั้งหนึ่ง จู่ๆ เดนิสก็บอกผมว่า ‘ฉันอยากให้มันดูหนาว, เปียกชื้น อ้อ-หิมะด้วย ฉันอยากให้ทุกอย่างมันเลวร้ายลงไปกว่านี้อีก'” เดียกินส์เล่าติดตลก และว่า ความต้องการเหล่านี้ของวีลเนิฟทำให้เขาต้องตะลุยหาเรฟเฟอร์เรนจากชีวิตจริงด้วยการดูรูปจากประเทศเม็กซิโก, ลาสเวกัส, ไอซ์แลนด์, ทะเลทรายโมฮาวี และสเปน เพื่อดึงเอาความสมจริงและความหลากหลายออกมาใส่ในหนังให้ได้มากที่สุด
นอกจากนี้ วีลเนิฟยังต้องการให้หนังมี ‘แสงเหลือง’ แบบที่เขาชอบลงไปด้วย ซึ่งเดียกินส์เองออกตัวว่าเขาไม่เคยถามถึงเหตุผลนั้น แต่ก็เหมารวมเอาว่าคงเพราะสีเหลืองเป็นสีที่แทนค่าของธรรมชาติและความรัก (สำหรับวีลเนิฟ) นั่นทำให้หนังเต็มไปด้วยสีเหลืองหลายเฉด ไม่ว่าจะดอกไม้ที่ตัวละครเด็ดมา หรือในออฟฟิศสุดอลังการของวอลเลซ (จาเร็ด เลโต)
และเจ้าออฟฟิศใต้ดินของวอลเลซที่ล้อมรอบด้วยน้ำทั้งห้อง จนแสงเงาที่ตกกระทบบนผนังนั้นเต็มไปด้วยร่องรอยคลื่นเงาจากน้ำ ก็กลายเป็นหนึ่งในฉากแสนบรรเจิดที่น่าจดจำของหนังไปโดยปริยาย ซึ่งเดียกินส์ระบุว่าเป็นฉากที่ออกแบบยากที่สุดสำหรับเขา
“เราพยายามหาคาแร็กเตอร์ของวอลเลซให้ได้ ผมกับเดนิสเลยนั่งคุยกันอยู่ตั้งนานว่าในออฟฟิศของเขาควรหน้าตาเป็นยังไงนะ” เดียกินส์ว่า “ผมคิดว่าหมอนี่เป็นคนตาบอด อาศัยอยู่ในตึกนี้ที่มีแสงแดดเทียมๆ ส่องอยู่เรื่อยๆ ผมเลยอยากให้แสงนั้นมันขยับได้เพื่อบอกเล่าคาแร็กเตอร์อันไม่น่าวางใจของตัวละคร มันเลยเต็มไปด้วยความซับซ้อนแถมยังทำให้ผมปวดหัวอีก (หัวเราะ) อันที่จริงผมไม่จำเป็นต้องทำอะไรแบบนี้หรอก แต่คิดว่าทำแล้วน่าจะดีกว่า”
อีกฉากขึ้นชื่อของหนังคือฉากที่มีโฮโลแกรมของ เอลวิส เพรสลีย์ นักดนตรีชื่อดังที่ยืนร้องเพลงระหว่างฉากการปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่เค (ไรอัน กอสลิง) และ เด็กคาร์ด (แฮร์ริสัน ฟอร์ด) ซึ่งเดียกินส์เผยว่า มันเป็นฉากที่สุ่มเสี่ยงอยู่ไม่น้อยเพราะพวกเขามีเวลาถ่ายทำไม่มากนัก “เราเริ่มจากการถ่ายทำนักแสดงที่หน้าตาเหมือนเอลวิสก่อน แล้วค่อยไปถ่ายฉากนั้นโล่งๆ แล้วค่อยปะเอาเอลวิสปลอมที่ถูกทำให้ดูโปร่งใสเหมือนภาพโฮโลแกรมซ้อนเข้าไป สิ่งสุดท้ายที่เราถ่ายทำสำหรับฉากนั้นคือการแสดงของไรอันและแฮร์ริสัน พร้อมดีไซน์ทางแสงกับไลต์ติ้งต่างๆ ในหนังเข้าไปด้วย”
และขณะที่หนังยังเข้าโรงฉายอยู่นี้ นักวิจารณ์หลายสำนักก็คะเนว่า Blade Runner 2049 คงส่งให้ผู้กำกับภาพอย่างเดียกินส์คว้ารางวัลออสการ์ได้เสียที หลังจากวืดมาแล้วทั้งหมด 13 ครั้งถ้วน
