ผู้เขียน หัวข้อ: Venom: Let There Be Carnage : เวน่อม ศึกอสูรแดงเดือด  (อ่าน 124 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ เซียวเหล่งนึ่งฯ

  • Administrator
  • พี่น้อง thaicine Gold member
  • *****
  • กระทู้: 1534
  • พลังใจที่มี 3
Venom: Let There Be Carnage : เวน่อม ศึกอสูรแดงเดือด
« เมื่อ: 27 พฤศจิกายน 2021, 13:05:16 »

• ชื่อไทย : เวน่อม ศึกอสูรแดงเดือด
• ปีที่เปิดตัว : 2564
• เข้าฉายในไทย : 2 ธันวาคม 2021
• นำแสดง :  ทอม ฮาร์ดี้, วู้ดดี้ ฮาร์เรลสัน, มิเชล วิลเลียมส์
• กำกับโดย :   แอนดี้ เซอร์กิส
• เขียนโดย : 
• ประเภท :  แอคชั่น / ทริลเลอร์ / ระทึกขวัญ
• ความยาว : 97 นาที
• สร้างโดย USA
• จำหน่ายโดย : UIP & Sony Pictures Thailand


เรื่องย่อ Venom: Let There be Carnage


             Venom: Let There Be Carnage เป็นผลงานของ “แอนดี้ เซอร์กิส” มานั่งเป็นผู้กำกับ “ทอม ฮาร์ดี้” กลับมารับบท เอ็ดดี้ บร็อก อีกครั้ง อีกทั้งยังร่วมสมทบด้วย “มิเชลล์ วิลเลียมส์”, “รี้ด สก็อตต์” และ “นาโอมี แฮร์ริส” เป็นต้น

             หลังจากเจ้าปรสิตต่างดาว เวน่อม (Venom) มาสิงอยู่ในร่างของ เอ็ดดี้ บร็อค ซึ่งทำชีวิตเขาวุ่นวายอย่างมากในภาคแรก แต่การกลับมาในภาคนี้นั้นเขาและเจ้า เวน่อม (Venom) จะต้องเผชิญกับความสยองจากปรสิตอวกาศอีกตน เข้ามาสิงร่างฆาตกรโรคจิต คลีตัส คาซาดี จะกลายเป็น คาร์เนจ วายรายตัวใหม่


             หลังจากเจ้าปรสิตต่างดาว Venom มาสิงอยู่ในร่างของ เอ็ดดี้ บร็อค (นำแสดงโดย ทอม ฮาร์ดี้) ซึ่งทำชีวิตเขาวุ่นวายอย่างมากในภาคแรก แต่การกลับมาในภาคนี้นั้นเขาและเจ้า Venom จะต้องเผชิญกับความสยองจากปรสิตอวกาศอีกตน เข้ามาสิงร่างฆาตกรโรคจิต คลีตัส คาซาดี (รับบทโดย วู้ดดี้ ฮาร์เรลสัน) จะกลายเป็น คาร์เนจ วายรายตัวใหม่

          เอ็ดดี้ บร็อก พยายามจุดประกายไฟให้กับอาชีพสื่อมวลชนของเขา ด้วยการดั้นด้นเข้าไปสัมภาษณ์ฆาตกรต่อเนื่องชื่อดัง คลีตัส คาซาดี้ชายผู้ที่กลายมาเป็นร่างอวตารให้กับ คาร์เนจ สิ่งมีชีวิตจากต่างดาวที่แอบลักลอบเข้ามาแฝงตัวอยู่บนโลกใบนี้ และเรื่องไม่คาดฝันก็ได้เกิดขึ้น เมื่อเคสตัสได้ก่อเหตุแหกคุก หลังจากที่การรับโทษประหารชีวิตของเขาล้มเหลว


** เปิดรอบพิเศษ วันที่ 25 - 30 พฤศจิกายน 2564 เวลา 19:00 น. เป็นต้นไป **


          ในภาคแรก ‘Venom’ (2018) เป็นผลงานการกำกับของ รูเบน เฟลสเชอร์ (Ruben Fleischer) ผู้กำกับที่สร้างชื่อจากงานอย่าง ‘Zombieland’ (2009) โดยเป็นความพยายามที่จะสร้างตัวร้ายจากจักรวาลหนังสไปเดอร์-แมนที่โซนี่ถือสิทธิ์สร้างภาพยนตร์เอาไว้ให้ภาพลักษณ์เป็นแอนตี้ฮีโร่ เพื่อที่จะนำมาเจอกับ ปีเตอร์ ปาร์กเกอร์ หรือ สไปเดอร์-แมน ฉบับของ ทอม ฮอลแลนด์ (Tom Holland) หรืออาจจะนำมาทำหนังรวมดาวร้ายอย่าง แก๊ง Sinister Six ในจักรวาลหนังสไปเดอร์เวิร์สของตนเองโกยเงินรับทรัพย์ต่อไป

          และในภาพรวมถือว่าหนังภาคแรกก็ไม่ได้เล่นท่ายากในการเล่าเรื่องเพื่อรับประกันความสำเร็จไปแล้ว พอมาภาคนี้ได้มีการเปลี่ยนผู้กำกับมาเป็น แอนดี้ เซอร์คิส (Andy Serkis) นักแสดงที่มีชื่อเสียงด้านการแสดงตัวละครโมชันแคปเจอร์ อย่าง กอลลัม หรือ ซีซาร์ แต่สำหรับผลงานด้านการกำกับยังต้องพิสูจน์ตัวต่อไป เพราะผลงานอย่าง ‘Mowgli’ (2018) นั้นยังเทียบความสนุกกับฝั่ง ‘The Jungle Book’ (2016) ของดิสนีย์ที่ออกฉายก่อนแทบไม่ได้เลย


          หนังใช้เรื่องราวจากไอเดียของ เคลลี มาร์เซล (Kelly Marcel) ที่ร่วมเขียนบทในภาคแรก กับ ทอม ฮาร์ดี้ (Tom Hardy) ที่ควบตำแหน่งนักแสดงนำและผู้อำนวยการสร้างของหนัง โดยดัดแปลงเนื้อหาในคอมมิกช่วง ‘Maximum Carnage’ ที่คาร์เนจร่วมมือกับชรีก อาชญากรสาวที่ใช้พลังเสียงตั้งตนเป็นพ่อแม่ของแก๊งวายร้ายออกจู่โจมเมืองนิวยอร์กและต้องปะทะกับกลุ่มฮีโร ซึ่งรวมถึงสไปเดอร์-แมนและเวนอมด้วย โดยปรับความสัมพันธ์ของคาร์เนจกับชรีกให้เป็นคู่รักในโรงเรียนดัดสันดานที่ถูกจับให้พลัดพรากกันแทน ซึ่งเอาจริงก็ดูน่าสนใจขึ้น ตัวละครมีมิติมากขึ้น ทว่าก็ยังติดปัญหาบางอย่างที่จะขอยกยอดสรุปในทีเดียว

          และเนื้อหาในส่วนของฝั่งบล็อกกับเวน่อมนั้น ใช้สืบเนื่องจากหนังในภาคแรกมาต่อทันที โดยแทบไม่ได้ปูพื้นใหม่จึงควรดูหนังในภาคแรกมาก่อน แต่ในภาคนี้ก็จะลดเรื่องราวปลีกย่อยลง โลกในหนังดูเล็กลงและอยู่ในสถานที่ไม่กี่แห่ง ตัวละครไม่กี่คน แม้แต่ช่วงที่คาร์เนจอาละวาดหนักสุด เราก็ไม่ได้เห็นความหวาดผวาของเมืองมากเท่าที่ควร ราวกับว่าไม่มีใครรู้เลยว่ามีปีศาจระดับภัยพิบัติอาละวาดอยู่กลางเมืองนอกจากพวกตัวเอกที่เกี่ยวข้องโดยตรง


          แต่ที่ต่างจากภาคแรกมากสุดคือ ดูเหมือนเซอร์คิสก็อาจจะมีไอเดียที่อยากยกระดับการเล่าเรื่องเวนอมให้หนักขึ้น ซับซ้อนขึ้น เป็นหนังสำหรับผู้ใหญ่มากขึ้นด้วย ทั้งนี้ต้องใช้คำว่า อาจจะ เพราะเราเห็นร่องรอยการปะผุแก้การเล่าเรื่องอยู่หลายครั้ง ที่พอเดาได้ว่าหนังเคยมีอีกเวอร์ชันที่ใช้วิธีการเล่าเรื่องในอีกแบบ ซึ่งเดาว่าในตอนแรก ฟรานเซส บาร์ริสัน ตัวละครของ นาโอมี แฮร์ริส (Naomie Harris) น่าจะไม่ได้ถูกเปิดเผยตั้งแต่ต้นเรื่อง และทำให้การกระทำของตัวละคร คลีตัส แคสซาดี ของ วูดดี ฮาร์เรลสัน (Woody Harrelson) ที่เชื้อเชิญบล็อกให้มาทำข่าวนั้นชวนเป็นปริศนาและลึกลับ คล้ายการต้อนเล่นของฆาตกรอัจฉริยะกับผู้สัมภาษณ์ใน ‘The Silence of the Lambs’ (1991) และจะทำให้การกระทำของ นักสืบมัลลิแกน ที่รับบทโดย สตีเฟน กราแฮม (Stephen Graham) ที่ดูผิดแปลกในบางฉากอยู่ในหนังตอนนี้นั้นดูสมเหตุสมผลขึ้นทันที (และเป็นจุดที่ทำให้เดาว่าหนังน่าจะเคยเล่าอีกแบบมาก่อน)


          และแม้หนังจะมีศักยภาพที่หนักขึ้นได้ โหดขึ้นได้ เป็นหนังเรต R เต็มตัว เพราะเมื่อรวมกับเรื่องที่เวนอมกับคาร์เนจนั้นต้องมีการเขมือบหัวคนสด ๆ โชว์หน้ากล้องตั้งแต่ภาคแรกอยู่แล้ว ยิ่งในภาคนี้ร่างหลักของคาร์เนจเป็นฆาตกรต่อเนื่องที่บารมีความน่ากลัวน่าจะมีมากกว่าตัวร้ายอย่าง ไรออต ในภาคแรกที่อย่างน้อยฉากการต่อสู้ของไรออตกับเวนอมมันก็ดุดัน ยิ่งใหญ่ และเร้าใจ

          แต่สุดท้าย ‘Venom: Let There Be Carnage’ ก็ยังติดกับเรต PG-13 และความพยายามเป็นหนังตามสูตรที่ใครก็เข้าใจง่ายจนมากเกินไป จึงทำให้หนังไม่พยายามทำตัวมีเหตุมีผล มีความเป็นคนที่มีชีวิตจิตใจจริง ๆ เท่าไร เหมือนเรากำลังดูตัวการ์ตูนที่ทำสิ่งต่าง ๆ เพราะมันเขียนอยู่ในบท เพื่อให้มันเกิดฉากถัดไปและถัดไปอยู่เสมอ จนเหมือนฉากชนฉาก ไม่มีเวลาให้กับการเล่าความคิดจิตใจตัวละครอย่างจริงจัง จนหนังมีความยาวเพียง 97 นาที น้อยที่สุดในบรรดาหนังฮีโรในปัจจุบันกันเลยทีเดียว และน่าเสียดายที่หนังได้นักแสดงมากฝีมือมามากมาย แต่แทบไม่ได้ใช้ประโยชน์จากจุดนี้


          หลายการกระทำอย่างการย้อนคิดถึงอดีตก็ดูเชยและยัดเยียดเกินจำเป็นอย่างเห็นได้ชัด ฉากต่อสู้ก็ไม่ได้โดดเด่นจนรู้สึกคาร์เนจมีเอกลักษณ์อะไรน่าจดจำนัก นอกไปจากฉากการเปลี่ยนร่างที่ดูน่าสยดสยองขึ้น เมื่อเทียบกับไรออตที่เปลี่ยนอวัยวะเป็นอาวุธหลายรูปแบบขณะสู้ยังดูมีอะไรให้เล่นได้มากกว่า

          มุกที่พยายามใส่เข้ามาก็ออกทางฝืดเสียส่วนมาก เหมือนเอาผู้ใหญ่ที่ไม่ทันมุกสมัยใหม่มาคิดบทให้คนดูหนังรุ่นใหม่ขำ ดุแค่วัตถุดิบของหนังจริงแล้วมันน่าจะเป็นหนังคู่หูตลกร้ายที่มีตัวชงตัวตบได้ตลอดเวลาแบบสนุก ๆ เลย แต่มันก็ไปไม่ถึง กลายเป็นหนังแอนตี้ฮีโร่ที่ดูเพลิน ๆ ให้มันจบไป เพื่อเอาข้อมูลไปดูเรื่องอื่นในจักรวาลสไปเดอร์เวิร์สต่อเท่านั้น

และทำให้ส่วนที่เจ๋งที่สุดของหนังอาจเป็นการเผยรายละเอียดเล็ก ๆ ที่ส่งผลต่อในหนังเรื่องอื่นอย่าง ฉากหนึ่งของนักสืบมัลลิแกนในช่วงหลัง หรือฉากหลังเครดิตของหนังที่ยาวเพียงไม่กี่วินาทีแต่น่าตื่นเต้นได้มากกว่าหนังทั้งเรื่องเสียอีก และไอ้ไม่กี่วินาทีที่ว่านี้ล่ะก็อาจเพียงพอแล้วที่ทำให้ต้องดูหนังเรื่องนี้ และอาจสำคัญมากสำหรับใครที่รอดู ‘Spider-Man: No Way Home’ (2021) ด้วย




ตัวอย่างหนัง Venom: Let There be Carnage


ตัวอย่างภาพยนตร์ใหม่ล่าสุด Venom: Let There Be Carnage [Official ซับไทย]


ตัวอย่างภาพยนตร์ Venom: Let There Be Carnage [Official - Sub Thai]


ตัวอย่างภาพยนตร์ล่าสุด Venom: Let There Be Carnage


มันส์ก่อนใคร! กับรอบพิเศษ #VenomLetThereBeCarnage


การต่อสู้ครั้งใหญ่ระหว่างสายพันธุ์ #VenomLetThereBeCarnage


เปิดศึกสุดเดือด! #VenomLetThereBeCarnage


แกะตัวอย่างใหม่ VENOM 2 สัมพันธ์อำมหิต..ปรสิตสังหารหมู่! #JUSTดูIT


ภาพนิ่ง โปสเตอร์ Venom: Let There be Carnage (2021)

 
 
 
 
 


ภาพโปสเตอร์




























« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02 ธันวาคม 2021, 16:13:20 โดย เซียวเหล่งนึ่งฯ »


เซียวเหล่งนึ่งฯ  นายพนมกร คำวัง (ตู่)
โทร 094-3619414, 086-4025293
อีเมล์: tuu414@scryptmail.com
Line: Touu-panomkornsmfjusthost@gmail.com
ชื่อบัญชี : นายพนมกร คำวัง
ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาบิ๊กซีนครปฐม ออมทรัพย์ เลขบัญชี : 830-209795-5   
ธนาคารกรุงเทพ สาขาโลตัสนครปฐม ออมทรัพย์ เลขบัญชี : 637-001757-