• ชื่อไทย : (เกือบจะไม่ได้) ฉายแล้วหน้าร้อนนี้
• ปีที่เปิดตัว : 2563
• เข้าฉายในไทย : 17 มีนาคม 2565
• นำแสดง : Marika Ito, Daichi Kaneko, Yumi Kawai
• กำกับโดย : Soshi Masumoto
• เขียนโดย : Soshi Masumoto, Naoyuki Miura
• ประเภท : Comedy / Fantasy / Romance
• ความยาว : 97 นาที
• สร้างโดย : Japan
• จำหน่ายโดย : Mongkol Major มงคล เมเจอร์
เรื่องย่อ It's a Summer Film หนึ่งในหนังในเทศกาลภาพยนตร์ญี่ปุ่น 2022 ที่หมายตาไว้ว่าจะไปดู ก็คือเรื่องนี้ ‘It’s a Summer Film!‘ แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้ไปดู ที่สุดก็ต้องเลือกหนทางออนไลน์ที่ทางเทศกาลเปิดดูฟรี กับเรื่องราวของกลุ่มเด็กวัยรุ่นที่คลั่งไคล้การทำหนังที่เกิดขึ้นในหน้าร้อน จากผลงานการกำกับของ Soshi Masumoto คนที่มีผลงานยังไม่มาก แต่หนังเรื่องนี้ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีให้กับเขา
เรื่องราวของ ฮาดาชิ (มาริกะ อิโต) เด็กมัธยมที่รสนิยมการดูหนังไม่เหมือนใคร ในขณะที่สมาชิกคนอื่นในชมรมภาพยนตร์ ของโรงเรียนกำลังร่วมมือ กันทำหนังรัก ฮาดาชิใฝ่ฝันอยากทำหนังซามูไร วันหนึ่งเธอไปเจอ รินทาโร (ไดจิ คาเนะโกะ) ชายหนุ่มท่าทางประหลาดๆ ที่หน่วยก้านน่าจะเล่นหนังพีเรียดได้ เธอจึงชวนเขามาเป็นนักแสดงในหนังของตนเอง พร้อมกับลากเพื่อนซี้จำนวนหนึ่งมาเป็นทีมงานในกองถ่าย ยังไม่ทันที่ภารกิจ อันแสนขลุกขลักสุดทะเยอทะยาน ของฮาดาชิจะสำเร็จ พวกเธอกลับต้องมาเจอจุดพลิกผันที่คาดไม่ถึง และหน้าร้อนปีนั้น ชีวิตของทุกคนก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
นี่เป็นหนึ่งในโปรแกรมห้ามพลาดที่ถูกกล่าวขวัญและมียอดจองตั๋วแน่นแทบทุกรอบของเทศกาลหนังญี่ปุ่น Japanese Film Festival 2022 ที่ปีนี้มีทั้งฉายโรงและในออนไลน์ สำหรับหนัง “It’s a Summer Film!” หรือชื่อไทย “(เกือบจะไม่ได้) ฉายแล้วหน้าร้อนนี้” ซึ่งเป็นผลงานการกำกับและเขียนบทเรื่องแรกในปี 2020 ของผู้กำกับหน้าใหม่อย่าง มัตซึโมโตะ โซชิ (Masumoto Sôshi) ที่ถ่ายทอดความรักในสิ่งที่เรียกว่า หนัง ออกมาเป็นพลอตที่ผสมผสานหนังญี่ปุ่นหลากหลายแนวได้อย่างน่าสนใจ
มัธยมปลายเป็นช่วงเวลาให้การทำตามฝันพร้อมผองเพื่อนครั้งสุดท้ายสำหรับเด็กญี่ปุ่น เพราะวัฒนธรรมญี่ปุ่นถือว่าเป็นผู้ใหญ่ที่ต้องแยกย้ายกันไปใช้ชีวิตแล้ว บางคนอาจเลือกหาทางเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย แต่หลายคนก็ออกทำงานหรือรับช่วงกิจการของที่บ้านเลย ดังนั้นช่วงหยุดฤดูร้อนและความทรงจำที่เกิดขึ้นในมัธยมปลายจึงจะเป็นความทรงจำครั้งสุดท้ายกับเพื่อนที่ติดตัวพวกเขาไปตลอดชีวิต
เด็กสาวชื่อ เท้าเปล่า (นามแฝง) เด็กชมรมภาพยนตร์ที่หลงใหลในหนังย้อนยุคญี่ปุ่นอย่างหนัก อยากจะทำหนังย้อนยุคเรื่อง “ซามูไรวัยละอ่อน” เพื่อฉายในงานโรงเรียน ทว่าเธอกลับแพ้ในการโหวตให้กับหนังรักหวานแหววของคู่แข่งในชมรมอย่าง คาริน เธอจึงชวนเพื่อนสนิทอีก 2 คน คือ บลูฮาวาย (นามแฝง) เด็กชมรมเคนโด้ และ โฟมว่ายน้ำ (นามแฝง) เด็กชมรมดาราศาสตร์ผู้หมกมุ่นกับนิยายไซไฟ มาช่วยกันทำหนังโดยรวบรวมเงินจากการทำงานพิเศษและตามหาทีมงานกับนักแสดงจากเพื่อน ๆ ที่มีทักษะความสนใจพิเศษในโรงเรียน เช่น จิ๊กโก๋ที่ชอบแต่งจักรยานด้วยชุดไฟขนาดใหญ่ ก็ชวนมาจัดแสงหนัง เป็นต้น
และแม้ว่าจะดูเป็นหนังจดหมายรักไปถึงหนังย้อนยุคที่กำลังเสื่อมความนิยมในปัจจุบัน ผ่านตัวละครเด็กที่อยากทำหนังอย่าง เท้าเปล่า กับเรื่องราวแนวหนังวัยรุ่นวายป่วงที่ทำหนังเรื่องแรกในข้อจำกัดมากมาย ทว่าพอเข้าสู่กลางเรื่องหนังแนะนำตัวละครใหม่ที่จะกลายมาเป็นนักแสดงนำของหนังอย่าง รินทาโร่ ที่เข้ามาแล้วเปิดประเด็นใหม่ในหนังได้อย่างน่าสนใจ ทั้งเรื่องรักสามเส้า และการตั้งคำถามถึงความสำคัญและความหมายของ “ภาพยนตร์” ในหัวใจของคนที่รักการดูหนังหากถ้าวันหนึ่งมันจะหายไป จากหนังดราม่าคอมเมดี้เล็ก ๆ กลายเป็นปัญหาเชิงปรัชญาแบบเบา ๆ ที่ชวนให้คิดไปในบัดดล
พูดในแง่ความเป็นหนังเรื่องแรกถือว่าผู้กำกับทำได้ดีในการถ่ายทอดความเคอะเขิน ประดักประเดิดของพวกเด็ก ๆ และการแสดงแบบญี่ปุ่นที่มันเข้ากับวิธีการนำเสนอพอดี แม้จะมีความเป็นหนังนักศึกษาอยู่บ้างในแง่โปรดักชันของตัวหนังโดยเฉพาะซีจีที่ยังคงลอยอยู่ และความล้นในบางช่วง แต่ก็อย่างที่ว่ามาพอธีมของหนังมันเป็นเรื่องหนังเรื่องแรกของเด็กมัธยมมันจึงลงตัวพอดี ถือว่าเอาจุดอ่อนสร้างจุดแข็งได้ดี มีที่ขัดใจแปลก ๆ บ้างก็ส่วนของชื่อตัวละครที่ใช้นามแฝงเรียกกันแล้วมันสะดุดใจทุกที เช่น เท้าเปล่า หรือโฟมว่ายน้ำ อะไรกันครับเนี่ย
แต่พูดในแง่หัวใจ ต้องบอกว่ามันชวนคิดถึงประสบการณ์ทำงานร่วมกับเพื่อนสมัยเรียนและมีคู่แข่งที่ดี (ถ้าบ้านเราก็คงกีฬาสี) ความรักครั้งแรกแบบวัยรุ่นที่จี๊ดหัวใจว่าจะสารภาพรักออกไปดีไหม ความหลงใหลในหนังประเภทต่าง ๆ ในความคิดของแต่ละคน และพลังของภาพยนตร์ที่เชื่อมผู้คนที่ต่างที่มาต่างวัฒนธรรมให้มาอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข ซึ่งที่ว่ามาดูมีหลากรสชาติที่บางรสดูไม่ค่อยเข้ากัน แต่น่าสนใจว่าในภาพรวมมันกลมกล่อม และพวกเด็ก ๆ ในเรื่องเติมพลังงานใจให้ผู้ชมได้ดีเหลือเกิน ใครชอบความรู้สึกคล้ายตอนดูหนังญี่ปุ่นไอเดียดีที่ไม่สมประกอบแต่อิ่มเอมใจอย่าง “One Cut of the Dead” เรื่องนี้ก็เปรมดีเหมือนกัน
จุดเด่น• พลอตที่น่าสนใจผสมหลากหลายแนวได้กลมกล่อม ชวนนึกถึงเพื่อน ๆ และความทรงจำดี ๆ โดยเฉพาะถ้าเป็นคนที่หลงใหลความอัศจรรย์ของภาพยนตร์มาแต่เด็กหนังจะยิ่งทำงานได้มาก นักแสดงนำที่เป็นผู้กำกับมีเสน่ห์แบกหนังได้ ตัวละครอื่นก็ลงตัวดีมาก
จุดสังเกต• ตัวละครชื่อใช้นามแฝงพอแปลเป็นไทยเลยจะรู้สึกแปลก ๆ โปรดักชันชวนนึกถึงหนังนักศึกษาระดับหนึ่งแต่มีความคิดสร้างสรรค์ที่ดี