• ชื่ออังกฤษ : Love Destiny The Movie
• ปีที่เปิดตัว : 2565
• เข้าฉายในไทย : 28 กรกฎาคม 2565
• นำแสดง : ธนวรรธน์ วรรธนะภูติ, ราณี แคมเปน, พาริส อินทรโกมาลย์สุต
• กำกับโดย : อดิสรณ์ ตรีสิริเกษม
• ประเภท : โรแมนติก / ตลก
• สร้างโดย : Thailand
• จำหน่ายโดย : จีดีเอช (GDH) ร่วมกับ บรอดคาซท์ ไทย เทเลวิชั่น
เรื่องย่อ บุพเพสันนิวาส ๒ เรื่องราวของพี่หมื่นและแม่หญิงการะเกด ที่หลังจากครองรักกันอย่างหวานชื่นจนตายจากเมื่อครั้งสมัยอยุธยา ทั้งสองก็ได้กลับมาเกิดใหม่ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น แต่กลับมีเพียงคนเดียวที่ยังเชื่อในเรื่องบุพเพสันนิวาส
ภพ (ธนวรรธน์ วรรธนะภูติ) นายช่างหนุ่มผู้มีรอยยิ้มหวานที่สุดในสยามประเทศ ฝันถึงหญิงสาวคนหนึ่งมานานหลายปี จนเขาเชื่อหมดใจว่าเธอคือคู่บุพเพสันนิวาส และเมื่อเขาได้พบกับ เกสร (ราณี แคมเปน) ผู้หญิงที่หน้าเหมือนสาวในฝันของเขาเด๊ะๆ ภพจึงตามจีบเธออย่างไม่ลังเล แต่ติดตรงที่เกสรเป็นผู้หญิงหัวก้าวหน้าเพราะได้รับการศึกษาจากบาทหลวงฝรั่ง เธอจึงไม่เชื่อเรื่องบุพเพสันนิวาส แถมยังไม่ชอบขี้หน้าภพเลยสักนิด เพราะตอนนี้เธอกำลังสนใจ เมธัส (พาริส อินทรโกมาลย์สุต) ชายหนุ่มหน้าฝรั่งที่ชอบใช้คำพูดแปลกผิดยุค แต่ดันไปพ้องกับข้อความในสมุดบันทึกโบราณของคุณหญิงการะเกดที่เพิ่งถูกค้นพบ หรือเมธัสจะเดินทางย้อนเวลามาจากอนาคตเช่นเดียวกับคุณหญิงการะเกด
เรื่องรักยังไม่คลี่คลาย ก็ดันมีเรื่องวุ่นวายให้ภพ เกสร และเมธัส ต้องเข้าไปพัวพันกับเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ของชาติบ้านเมือง ในยุคที่บุคคลสำคัญหลายท่านยังมีชีวิตโลดแล่นอยู่ ไม่ว่าจะเป็น สุนทรภู่ กวีเอกของโลก, หมอบรัดเลย์ บิดาแห่งการพิมพ์, บาทหลวงปาลเลอกัวซ์ ผู้นำกล้องถ่ายรูปเข้ามาในประเทศเป็นคนแรกและนายห้างหันแตร เจ้าของห้างสรรพสินค้าแห่งแรกของไทยและยังเป็นผู้นำเรือกลไฟ เอ็กสเปรส มาเสนอขายแก่สยามจนนำมาซึ่งเรื่องลุกลามบานปลาย ที่อาจทำให้ประวัติศาสตร์เกิดการเปลี่ยนแปลง
จีดีเอช (GDH) ร่วมกับ บรอดคาซท์ ไทย เทเลวิชั่น จัดงานเปิดตัวภาพยนตร์ "บุพเพสันนิวาส ๒" ณ ศูนย์การค้า ดิ เอ็มควอเทียร์ เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2565
ละคร บุพเพสันนิวาส ที่ถ่ายทำและแสดงออกมาได้สมบูรณ์แบบ สร้างความประทับใจให้กับคนหมู่มาก กลายเป็นแรงบันดาลใจให้นำมาต่อยอดเป็น ภาพยนตร์
•
ความเป็นมาของภาพยนตร์ วรรณฤดี พงษ์สิทธิศักดิ์ ผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์และพัฒนาบทภาพยนตร์ บริษัท จีดีเอช ห้าห้าเก้า จำกัด (GDH) โปรดิวเซอร์ กล่าวว่า ที่นำเรื่องนี้มาทำเป็นภาพยนตร์เพราะความชอบละครเรื่องนี้
"ตอนที่ละครเรื่อง บุพเพสันนิวาส จบ ทุกคนก็อยากดูต่อ เราเองก็เกิดความชอบและหลงรักตัวละครเรื่องนี้ แต่ละครจบอย่างสมบูรณ์ไปนานแล้ว
แล้วไปอ่านเจอแรงบันดาลใจในหนังสือนิยายของคุณ รอมแพง ที่เขียนไว้ว่า “คู่ของการะเกด เป็นคู่บุพเพสันนิวาส จะต้องรักกันทุกภพทุกชาติไป”
ถ้าอย่างนี้ ชาติภพของละครสมัยอยุธยาจบไปแล้ว แปลว่าเขาต้องไปเกิดใหม่ในชาติต่อ ๆ ไป แล้วก็ต้องครองคู่กันทุกชาติ เราก็อยากจะไปดูว่าเขาจะครองคู่กันยังไง ครองคู่กันได้ไหม
เป็นที่มาของภาพยนตร์เรื่อง บุพเพสันนิวาส 2 ว่าถ้าคู่นี้มาเกิดใหม่ ในยุคต้นรัตนโกสินทร์ ถ้าเกิดคนหนึ่งยังเชื่อในเรื่อง บุพเพสันนิวาส ในขณะที่อีกคนหนึ่งไม่เชื่อเลยและมีความคิดว่าเรื่องบุพเพสันนิวาสเป็นเรื่องงมงายมาก
มันก็จะเป็นปัญหาความรักที่เหมาะกับคู่นี้มาก แล้วเรื่องราวมันจะเป็นยังไง มันเปิดจินตนาการเราใหม่ ภพชาติใหม่ เรื่องราวกลิ่นอายเดิมแต่มีความใหม่เข้าไป"
•
ทำไมต้องเป็นยุคต้นรัตนโกสินทร์ เก้ง- จิระ มะลิกุล ผู้อำนวยการสร้าง โปรดิวเซอร์ กล่าวว่า เพราะยุคนั้นมีความสวยงาม
“ทีมบทเขารีเสิร์ชกันเยอะมาก ผมได้อ่านบันทึกของ แหม่มแอนนา แล้วประทับใจมาก แกบันทึกไว้ว่า "รัตนโกสินทร์ตอนต้น 170 กว่าปีก่อน กรุงเทพฯมีคนหนึ่งล้านคน เป็นคนจีนกับคนต่างประเทศหนึ่งแสนคน กรุงเทพฯไม่มีถนนสายหลัก
แม่น้ำเจ้าพระยาจึงเป็นถนนสายหลัก คนหนึ่งล้านคนอาศัยอยู่ในเรือนแพริมแม่น้ำสองแสนเรือนแพ ยามค่ำคืนแสงไฟที่แขวนอยู่ในตะเกียงตามเรือนแพทำให้ท้องน้ำสุกสว่างแล้วก็สวยเหมือนเวทมนตร์"
ผมก็อยากให้เป็นยุคนี้ แล้วเพิ่มเรื่องย้อนเวลาเอกลักษณ์ของบุพเพสันนิวาสเข้าไป ผมเป็นเด็กฝั่งธน ใกล้วัดประยุรวงศาวาส ตอนเด็ก ๆ ได้ยินเขาเล่าว่า "ถ้าใครวิ่งรอบเจดีย์วัดประยูรครบสามรอบในคืนเดือนเพ็ญ เขาจะหายไป" ก็เลยเอามาเสนอพี่ปิ๊ง ผู้กำกับ
ปิ๊ง-อดิสรณ์ ตรีสิริเกษม ผู้กำกับ กล่าวว่า เหตุผลที่นำมาทำเป็นภาพยนตร์ เพราะมีอะไรหลายอย่างที่อยากนำเสนอ
“ตัดสินใจทำเรื่องนี้เพราะองค์ประกอบหลาย ๆ อย่างมันน่าสนใจ แล้วพัฒนาออกมาเป็นหนังภพชาติ เป็นหนังที่ครบทุกรสชาติ ดูได้ทุกเพศ ทุกวัย ทุกกลุ่ม
เราเก็บทุกโมเมนต์ที่คนชื่นชอบบุพเพสันนิวานเอาไว้ในหนัง ไม่ว่า โรแมนติก แฟนตาซี ย้อนเวลา เรื่องประวัติศาสตร์
ซึ่งผมได้เพิ่ม แอ็คชั่น คอเมดี้ เข้าไป เพราะรู้สึกว่า โป๊ปและเบล มีศักยภาพในด้านนี้ และตัวจริงของสองคนนี้เวลาอยู่ด้วยกันแล้วดีมากครับ
อยากให้คนดูทั้งแฟนละครและแฟนหนัง ได้รับความบันเทิงสูงสุด เป็นกลิ่นอายแบบเดิมแต่เพิ่มรสชาติใหม่ อรรถรสใหม่ ๆ เข้าไป
