วันนี้ขอย้อนอดีตกลับไปเมื่อสัก 20 กว่าปีก่อนนะครับ พันนา ฤทธิไกร หลายๆท่านคงรู้จักชื่อนี้เป็นอย่างดี ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของหนัง องค์บาก และซุปเปอร์สตาร์อย่าง จา ทัชชกร ยีรัม
ส่วนตัวผมแล้วนั้น รู้จักชื่อ พันนา ฤทธิไกร จากหนังเรื่อง ลำเพลินโหด ซึ่งแสดงร่วมกับ บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ พระเอกนักบู๊ที่ผมชื่นชอบอีกคน จะว่าไปแล้วสมัยก่อนถ้าดูหนังบู๊ภูธร ต้องมีชื่อ บิณฑ์ , สรพงษ์ ,ฉัตรชัย , ลักษ์ ชื่อเหล่านี้ถึงทำให้หนังเรื่องนั้นน่าดู ส่วน พันนา ฤทธิไกร นั้นได้เห็นผลงานผ่านตาจากหนังบู๊ของค่ายโคลีเซี่ยม อย่างเช่น ลุยรำมะนา และอีกหลายเรื่อง แต่ก็ไม่รู้จักว่าเขาชื่ออะไร ?
" ลำเพลินโหด " (พันนา ไม่ได้สร้าง ไม่ได้กำกับ แต่ร่วมแสดง) นิวพิชัยภาพยนตร์ ร้อยเอ็ด มาฉายล้อมผ้าที่บ้าน ควบหนังจีนอีก 2 เรื่อง (ขู่เฮ้อะ..แต่อย่าหลอก, โหดตามพินัยกรรม รวมทั้งหมด 3 เรื่อง บัตรผ่านประตู 7 บาท) วันนั้นก็ยังไม่รู้ว่า พันนา เป็นใคร แต่ด้วยบทผู้ร้ายที่โดดเด่น เล่นเองเจ็บเอง ตีกันกับพระเอก บิณฑ์ ทั้งเรื่อง ก็ทำให้เดาได้ว่า พันนา คือใคร หลังจากวันนั้น ถ้าเป็นหนังบู๊ภูธร ระเบิดภูเขา เผากระท่อม ถ้าไม่มีชื่อ พันนา ฤทธิไกร ไม่ดู ต้องมีชื่อนี้เท่านั้นถึงจะดู
หลังจากที่ได้ดูหนัง พันนา หลายเรื่อง ก็มีทั้งเรื่องที่สนุก และทำให้ผิดหวัง จึงต้องมาไล่ดูใหม่ โดยดูจากบริษัทผู้สร้างและผู้กำกับ และทีมสตั้นท์ ถ้าเป็นบริษัท เพชรพันนาโปรดัคชั่น, ทีมงานสตั้นแมน เทควันโด PPN, หรือ สตั้นแมนกลุ่มรั้วหนาม, กำกับโดยประพนธ์ เพชรอินทร์ (เพื่อน พันนา)ถ้ามีชื่อเหล่านี้ปรากฏบนใบปิดล่ะก็ นี่คือ หนังพันนา ของแท้แน่นอน รับประกันเล่นจริงเจ็บจริง .....
วันนี้ผมมีเรื่องราวเล็กน้อยเกี่ยวกับพันนา ฤทธิไกร มาฝาก โพสไว้นานมากแล้วในไทยซีนยุคเริ่มแรก โดย:ธีปนันท์ เพ็ชร์ศรี 11 สิงหาคม 2547 17:05 น.
เป็นที่ทราบกันดีว่า หนทางสู่ดวงดาวของ จา พนม ยีรัมย์ เริ่มต้นจากการเป็นเด็กคนหนึ่งที่ชอบดูหนังของ พันนา ฤทธิไกร เมื่อความชอบเปลี่ยนเป็นความฝัน - อยากเป็นเหมือนฮีโรของเขาบ้าง - จา พนมจึงเข้าไปสมัครเป็นลูกศิษย์ของพันนา โดยไม่ฟังคำทัดทานของใครทั้งสิ้น
คงต้องบอกว่า ไม่ใช่จะมีแต่จาเพียงคนเดียว เด็กบ้านนอกหลายคนที่โตมากับหนังกลางแปลงช่วงปี 2525-2535 ก็เป็นแบบนั้น กล่าวคือ รู้สึกชื่นชมกับภาพการต่อสู้บนจอหนัง จนต้องเกลี่ยพื้นที่ในดวงใจให้พันนา ฤทธิไกรมายืนร่วมกับฮีโรคนอื่นๆ
ใครจะเห็นเป็นเรื่องน่าขำอย่างไรก็ตาม อย่างน้อยก็มีผมคนหนึ่ง (และเพื่อนๆ อีก 2-3 คน) ที่อยู่ในข่ายนั้น (เราอาจจะต่างจากจา พนมตรงที่ไม่สามารถเดินทางไปสมัครเป็นศิษย์ เพราะข้อจำกัดหลายประการ)
ผมจำไม่ได้แน่นอนว่า ได้ดูหนังของพันนา ฤทธิไกรไปกี่เรื่อง รายละเอียดบางอย่างเลือนหาย แต่หลายอย่างก็ยังชัดเจนอยู่ในความทรงจำเมื่อนึกถึง
ตามธรรมเนียมของหนังกลางแปลงซึ่งจะแวะมาตั้งโรงแถวบ้านผมเดือนละครั้ง โปรแกรมเด็ด 3 เรื่องควบจะมีรูปแบบที่ชัดเจน - หนังจีนเรื่องดังที่เพิ่งออกจากโรงใหญ่ไม่นานจะมีสิทธิ์ได้ฉายก่อนเป็นอันดับแรก ตามมาด้วยหนังใหม่ของไฟว์สตาร์หรือบางครั้งก็เป็นหนังแอ๊กชั่นฝรั่งที่รอยขูดขีดของฟิล์มยืนยันว่ามันได้รับความนิยมมากเพียงใด
สำหรับหนังเรื่องที่ 3 - ซึ่งกว่าจะเริ่มฉายเวลาก็ล่วงเลยเข้าสู่เช้ามืดของวันใหม่ - ถูกจับจองมายาวนานโดยหนังของพันนา ฤทธิไกร
ผ้าพลาสติกหนาสีน้ำเงินเข้มซึ่งถูกใช้เป็นผนังกั้นโรงหนังชั่วคราวถูกปลดลง ระหว่างที่โลโก้ของเพชรพันนา โปรดักชั่นฉายอยู่บนจอ หลายคนเริ่มม้วนเสื่อกลับ ในขณะที่อีกส่วนนั่งนิ่งอยู่กับที่ รอคอยสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นตรงหน้าอย่างใจจดใจจ่อ
หนังของพันนาอาจจะไม่ใช่หนังที่วิเศษอะไร งานสร้างเทียบไม่ได้เลยกับหนังบู๊ฮ่องกงประเภท "เชือด...เชือดนิ่มนิ่ม" ที่โด่งดังในช่วงเดียวกัน ลีลาฉากต่อสู้ของพันนาอาจไม่พลิ้วไหวเหมือนกับของหลี่ไซ่ฟ่ง ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่เคยลุกหนีหนังของพันนาเลยสักครั้ง
ความน่าตื่นตาตื่นใจของพันนา ฤทธิไกร สำหรับตัวผมเองอยู่ตรงที่ มันเป็นการต่อสู้ที่เหมือนจริง ตัวประกอบอดทนก็จะทำหน้าที่ของตัวเองอย่างแข็งขัน บางเรื่องหนังถึงกับปล่อยให้การต่อสู้ดำเนินไปยาวนาน และพันนากล้าหาญมากที่กดฟิล์มแช่ไปโดยไม่มีการตัด เพื่อย้ำเตือนกับผู้ชมว่าที่เห็นนั้นมันของจริงทั้งนั้น
ไม่ใช่แค่นั้นที่ทำให้ผมหลงรักพันนา ฤทธิไกร เพราะในขณะที่มองเผินๆ พล็อตหนังที่ถูกคิดขึ้นมาเพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้เกิดฉากต่อสู้อันหลากหลาย (นอกเหนือจากนั้นมันก็แทบจะไม่มีอะไรใหม่เลย จนสามารถจัดหมวดหมู่พล็อตได้ 2 ประเภท คือ ไม่คิดอะไรเลย กับ ใช้สมองส่วนไหนคิดกันเนี่ย?) แต่ลึกๆ แล้ว มันกลับแฝงอะไรน่ารักๆ ไว้มากมาย
พันนาเป็นคนมีอารมณ์ขันมาก เขาใส่มุกตลกพื้นๆ เพี้ยนๆ (แถวบ้านบางคนอาจจะเรียก มุกควาย) เข้าไปในหนังแบบไม่ยั้งมือ บางครั้งฝ่ายธรรมะและอธรรมจะโยนมุกประเภทนี้ใส่กันอย่างเมามัน (โดยลืมไปว่าต่างฝ่ายต่างต้องเอาชีวิตกัน) ก่อนจะตามล้างตามฆ่ากันในตอนท้ายเรื่อง เขายอมเสียเวลาไปกับมุกเหล่านี้ โดยไม่สนใจว่ามันจะกลมกลืนกับหนังหรือเปล่า และจุดนี้เองที่ทำให้งานของพันนามีมนต์ขลังอย่างประหลาด
ทั้งนี้ทั้งนั้น ผลงานแทบทุกชิ้นของเขาก็ไม่ลืมที่จะบอกเล่าเรื่องราวง่ายๆ หรือคติสอนใจ ประเภทธรรมะย่อมชนะอธรรม ความดีชนะความชั่ว รวมไปถึงการเสียสละเพื่อประโยชน์ส่วนรวม ซึ่งทั้งหมดนั้นแสดงให้เห็นว่าทัศนคติของพันนาน่าชื่นชมแค่ไหน
ที่เขียนมาทั้งหมด เป็นความรู้สึกอย่างย่นย่อของผมต่อคนทำหนังที่ชื่อ พันนา ฤทธิไกร หลังจากลืมเขาไปนาน จนกระทั่งได้มาดูเกิดมาลุยเมื่อสัปดาห์ก่อน
อาจเพราะเต็มไปด้วยอคติ ผมจึงชอบเกิดมาลุยมากๆ หนังเต็มไปด้วยความบันเทิงและเสน่ห์ที่หาไม่ได้ในองค์บาก (อันถือว่าเป็นการกลับมาแบบครึ่งตัวของเขา หลังจากหายหน้าไปนาน) ผมเชื่อว่าหลายๆ ส่วนในหนังเรื่องนี้ คงจะทำให้แฟนพันธุ์แท้ของพันนามีความสุข และหายคิดถึง โดยเฉพาะกับฉากคุณยายผู้สงสัยเกี่ยวกับชื่อกีฬารักบี้ - มันเป็นมุกแบบพันนาแท้ๆ ที่ไม่มีใครสามารถทำได้ลงตัวอย่างเขาอีกแล้ว
คงไม่ต้องขยายความก็น่าจะทราบกันว่า เกิดมาลุย มีเหตุผลทางธุรกิจมากมายเข้ามาเกี่ยวข้อง ด้วยความสำเร็จของหนังอย่างองค์บาก ทำให้องค์ประกอบที่ใส่เข้ามาในเกิดมาลุยอยู่ในลักษณะขายตรงชัดเจน แต่บทภาพยนตร์ก็ทำได้ เนียน อย่างไม่มีปัญหา
แต่ความมหัศจรรย์ของพันนา ฤทธิไกรอยู่ตรงการควบคุมอารมณ์ของหนังได้อยู่หมัด ซีเควนซ์ที่นักสู้ทั้งหมดตัดสินใจว่าจะสู้หรือจะถอย โดยนำเพลงชาติเข้ามาเป็นเงื่อนไข เป็นตัวอย่างที่แสดงถึงศักยภาพการเป็นนักเล่าเรื่องของพันนา ฤทธิไกรได้ดีมาก ฉากแบบนี้ถ้ามากหรือน้อยไปแค่นิดเดียว มันจะกลายเป็นอีกเรื่องหนึ่งทันที แต่พันนาก็ทำได้พอดีๆ และน่าชื่นชม
ในส่วนของฉากเสี่ยงตายทั้งหลาย พันนาก็ไม่ทำให้เสียยี่ห้อตัวเอง และมันคงเป็นเรื่องยากมากถ้าจะให้บรรยายว่าน่าตื่นเต้นแค่ไหน เอาเป็นว่าลองไปดูเองก็แล้วกันครับ
ผมคงต้องย้ำอีกทีว่า เกิดมาลุย ก็เหมือนกับหนังพันนาที่ผ่านมา (ต่างกันแค่งานสร้างดีขึ้นมาก เพราะเงินทุนที่สูงขึ้น) และมันไม่ใช่หนังที่ดีพร้อม มีข้อบกพร่องอยู่บ้าง และคุณค่าทางศิลปะชั้นสูงอาจอยู่ในปริมาณที่ไม่มาก
เกิดมาลุยเป็นหนังลูกทุ่งแท้ๆ ที่หายากแล้วในสมัยนี้ หนังปลุกใจให้ฮึกเหิม พูดเรื่องความสามัคคีและการเสียสละ ซึ่งดูเหมือนจะเป็นประเด็นที่ไม่เท่เท่าไหร่สำหรับคนทำหนังร่วมสมัย รุ่นพี่นักวิจารณ์คนหนึ่งบอกว่า มันสามารถจัดอยู่ในหมวดเดียวกับหนังอย่างโหมโรงได้เลย กล่าวคือ ดูแล้วรู้สึกรักความเป็นไทยขึ้นมาทันที และผมเองก็ไม่เห็นค้าน
ผมไม่ทราบว่าผลการตอบรับเรื่องรายได้เป็นอย่างไร แต่ก็อยากให้ไปดูกันเยอะๆ พันนา ฤทธิไกรถูกทอดทิ้งมานานแล้ว และคนที่มีความสามารถอย่างเขาควรได้รับการยกย่องมากกว่านี้