Spoiler Alert !! แคลนเดสไทน์กลุ่มนึงแห่งมิตินูร์ กระทำผิดบางอย่างจึงถูกเนรเทศมาสู่มิติความเป็นจริงบนโลกมนุษย์ พอร์ทัลมิติปิดตายทันทีที่พวกเขาโดนเนรเทศ แคลนเดสไทน์กลุ่มนี้ ยังคงซึ่งความแข็งแกร่งทางร่างกาย อายุที่ยาวกว่ามนุษย์ แต่เวทย์สร้างแสงแข็งที่พวกเขามีนั้นใช้ไม่ได้ในมิติความเป็นจริงนี้
ตามตำนานแคลนเดสไทน์ที่พวกเขารู้ก็คือ มีเพียงกำไลดึกดำบรรพ์หนึ่งคู่ในมิติความเป็นจริงซึ่งอยู่มาตั้งแต่โลกยุคเริ่มต้นเท่านั้น ที่จะใช้เปิดพอร์ทัลที่เชื่อมทั้งสองมิตินี้ได้ พวกเขาจึงออกตามหาเบาะแสของกำไลดึกดำบรรพ์ไปทั่วโลก เพื่อหวังจะใช้มันเปิดพอร์ทัลกลับมิตินูร์บ้านเกิดพวกเขา
ที่ชมพูทวีป เบาะแสล่าสุดของกำไลดึกดำบรรพ์นั้นหายไปในชมพูทวีป ชาวอิสลามที่เคยพบเจอแคลนเดสไทน์กลุ่มนี้ และรับรู้สัมผัสถึงพลังเหนือธรรมชาติของพวกเขา จึงเรียกพวกแคลนเดสไทน์ว่า ญิน
ญิน หรือ แคลนเดสไทน์ (Ms. Marvel) ปี 965 ที่โลก ราชาลอฟฟี่แห่งโยธันไฮม์ ใช้เวทย์ของตนเชื่อมต่อกับ “แทซเซอแรค” ที่อยู่บนโลก นำกองทัพยักษ์น้ำแข็งเดินทางความเร็วแสงบุกรุกโลกหรือมิดการ์ดบริเวณเมืองทอร์นสเบิร์กประเทศนอร์เวย์ ราชาลอฟฟี่ใช้ขุมพลังแห่งโยธันไฮม์ “เคสเก็ตออฟอันเชี่ยนวินเทอร์” แช่แข็งคร่าชีวิตมนุษย์ไปมากมาย
ยักษ์น้ำแข็งแห่งโยธันไฮม์ (Thor 1) ไฮม์ดาลล์ เทพแอสการ์ดผู้มองเห็นทุกสิ่งในเก้าอาณาจักร จึงรายงานราชาโอดิน ว่าบัดนี้โลกถูกยักษ์น้ำแข็งรุกราน โอดินจึงนำกองทัพอานเฮอญ่าเข้าสะพานไบฟรอสท์มาที่โลกเช่นกัน และขับไล่ยักษ์น้ำแข็งออกไปจากโลกได้สำเร็จ มาช่องทางไหนก็กลับไปช่องทางนั้น นั่นคือการใช้พลังเวทย์เชื่อมแทซเซอแรคเดินทางความเร็วแสงกลับนั่นเอง หลังจากนั้น โอดินก็ซ่อนแทซเซอแรคไว้ที่กำแพงโบสถ์ในเมืองทอนสเบิร์ก
โอดินตามลอฟฟี่ไปที่โยธันไฮม์หวังกำจัดให้สิ้นซาก แต่ลอฟฟี่ยอมแพ้ โอดินจึงไว้ชีวิตลอฟฟี่และยักษ์น้ำแข็งที่เหลือ ยึดเอาเคสเก็ตออฟอันเชี่ยนวินเทอร์กลับไปด้วย ทำสัญญาสงบศึกกันไม่รุกรานกันอีก
โอดินสูญเสียดวงตาไปข้างนึงในศึกนี้ (Thor 1) ขณะกำลังกลับออกจากวังของลอฟฟี่ โอดินพบกับทารกยักษ์น้ำแข็งถูกทิ้งไว้ โอดินจึงใช้มนต์ฉาบผิวจากสีฟ้าให้เป็นสีเนื้อ และนำทารกยักษ์น้ำแข็งตนนี้กลับไปแอสการ์ดด้วย
ที่ดาวแอสการ์ด โอดินกับฟลิกก้าปรึกษากันว่าจะเอายังไงกับทารกยักษ์น้ำแข็งตนนี้ดี ที่สุดแล้วทั้งคู่ก็ตัดสินใจเลี้ยงทารกยักษ์น้ำแข็งตนนี้เอาไว้เป็นลูกอีกคนหนึ่ง และตั้งชื่อให้ว่า “โลกิ” ธอร์จึงมีน้องชาย โดยไม่มีใครในแอสการ์ดรู้ชาติกำเนิดโลกิ ยกเว้น โอดิน ฟริกก้า และ ฮัมดาลล์
ทารกโลกิ (Thor 1) ปี 1000 ที่จีนแผ่นดินใหญ่ นักรบหนุ่มนามว่า ซู เวิ๋นหวู่ ได้ค้นพบ “เทนริงส์” ซึ่งแหวนทั้งสิบนั้นถูกซ่อนอยู่ภายในปล่องภูเขาไฟ พลังลึกลับของแหวนทั้งสิบทำให้เวิ๋นหวู่ไม่แก่ลงอีกเลย เวิ๋นหวู่สร้างกองทัพในชื่อ เทนริงส์ ใช้พลังวิเศษจากแหวนทั้งสิบ นำพากองทัพรุกรานแผ่นดินจีนไปทั่ว ซึ่งแหวนทั้งสิบจะเปล่งแสงสีฟ้าเมื่อเขาใช้
จอมยุทธ ซู เวิ๋นหวู่ ผู้นำเทนริงส์ (Shang-Chi) ที่ปราสาทดาร์คโฮลด์บนหุบเขาวันเดอกอร์ ถูกผู้ใช้เวทย์ศาสตร์มืดค้นพบ พวกเขาหลายๆคนล้มตายไปมากมายเพื่อฝ่าอสูรไปคัดลอกคาถารูนในปราสาท แต่ในที่สุดทุกสิ่งในปราสาทก็ถูกคัดลอกมาทั้งหมด ทั้งตำนานคธอน ตำนานสกาเล๊ตวิช คาถารูน ทุกสิ่งถูกจารึกไว้ในคัมภีร์ดาร์คโฮลด์ และเปลี่ยนมือผู้ถือครองคัมภีร์ศาสตร์มืดนี้เรื่อยมา
คัมภีร์ดาร์คโฮลด์ที่มีรูปสกาเล๊ตวิช (WandaVision) ปี 1372 ที่เนปาล แม่มดหญิงชาวเคลท์นามว่า อันเชียนวัน กลายเป็นมหาจอมเวทย์สูงสุดผู้พิทักษ์ดวงตาแห่งอกาม๊อตโต้ แต่อันเชี่ยนวันดึงพลังจากดาร์คดีเมนชั่นมาทำให้เธอไม่แก่ โดยไม่มีลูกศิษย์ลูกหาคนใดล่วงรู้ความลับของเธอ อันเชี่ยนวันใช้ดวงตาแห่งอกาม๊อตโต้ดูอนาคตจนรู้วันตายของตัวเอง ซึ่งมันคืออนาคตปี 2017 และไม่มีเส้นเวลาอนาคตใดเลยที่เธอจะรอดชีวิต และก่อนตายอันเชี่ยนวันจะพบกับชายที่ชื่อดร. สตีเฟ่น สเตร้นจ์ ผู้ที่จะกลายเป็นจอมเวทย์สูงสุดที่เก่งที่สุดที่เคยมีมา
อันเชียนวัน ดึงพลังงานดาร์คดีเมนชั่นมาต่อชีวิตให้ยืนยาว (Doctor Strange 1) ปี 1521 เรื่องราวเกิดขึ้นภายในกลุ่มอีเธอนอล เมื่ออิคาริสรู้ความลับภารกิจที่สองจากอาแจ็ก ว่าสิ่งมีชีวิตทุกชนิดบนโลกใบนี้ต้องตายทั้งหมดเพื่อให้ตัวอ่อนเซเลสเทียลอุบัติ อิคาริสจึงตัดสินใจเลิกคบหากับเซอซี่ ไปปลีกวิเวกอยู่ลำพัง เพื่อตรึกตรองว่าเขาควรทำเช่นไร หลังจากนั้น เหล่าอีเธอนอลก็แตก แยกย้ายกันอยู่ใครอยู่มันเป็นครั้งแรก
เซอซี่เมื่อแยกกับอิคาริสก็ไปอยู่กับสไปรท์ กิลกาแมสอยู่กับทีน่า ดรูอิกอยู่คนเดียว คิงโกไปอยู่อินเดียเป็นนักแสดง ฟาสโตสเลิกสร้างเทคโนโลยี มัคคารีกลับไปอยู่บนยานโดโม และ เอแจ็กก็อยู่คนเดียวเช่นกัน
อิคาริสสับสนว่าจะเอายังไงกับมนุษย์ดี (Eternals) ปี 1571 ที่ยูกาตัง ทวีปอเมริกาเหนือ สเปนรุกรานชนพื้นเมืองมายันอย่างหนัก โดยปล่อยไข้ทรพิษใส่ชาวมายันล้มตายไปมากมาย รวมถึงผู้คนในหมู่บ้านซาม่าด้วย ที่กำลังจะเป็นไข้ทรพิษตายเฉกเช่นหมู่บ้านอื่นๆในบริเวณโดยรอบ
หากแต่ทว่า เทพเจ้าซ้าคแห่งแอซแทค ตัดสินใจเลือกให้คนในหมู่บ้านซาม่าต้องรอดตายจากไข้ทรพิษ และได้รับพลังแห่งไวเบรเนียม จึงชี้ทางให้หมอผีประจำหมู่บ้านซาม่า ให้ไปค้นพบสมุนไพรสีฟ้าใต้น้ำในถ้ำที่เชื่อมกับมหาสมุทรแอตแลนติก ทำให้ชนเผ่ามายันในหมู่บ้านซาม่าที่กำลังจะตายด้วยไข้ทรพิษนั้นรอดตายมาได้ มีพละกำลังแข็งแกร่งเหนือมนุษย์ อายุยืนยาวกว่าปกติ
แต่เพราะพืชสิ่งนี้กลายพันธุ์ในมหาสมุทร ผู้ที่กินมันเข้าไปจึงไม่สามารถหายใจในอากาศบนบกได้อีกตลอดกาล ต้องดำรงชีวิตอยู่แต่ในน้ำเท่านั้น อยู่เหนือผิวน้ำได้เพียวชั้วคราว กลายเป็นเผ่าพันธุ์ใหม่นามว่า ทาโลคานี่
เฟน หญิงสาวชนเผ่าในหมู่บ้านซาม่าที่กำลังตั้งท้อง ลังเลที่จะกินสารสกัดจากพืชสมุนไพรไวเบรเนียมเฉกเช่นคนอื่นๆในหมู่บ้าน แต่ในที่สุดเฟนก็ยอมกินสารสกัดนี้เข้าไปเช่นกัน ทำให้เฟนมีพลังเหนือมนุษย์ กลายเป็นทาโลคานี่ไปตามชนเผ่าตนเอง
เฟนหันมามองแผ่นดินเกิดครั้งสุดท้าย (Black Panther: Wakanda Forever) ในเวลาต่อมา เฟนก็คลอดลูกใต้น้ำออกมาเป็นลูกชาย เฟนตั้งชื่อลูกเป็นภาษาท้องถิ่นว่า Ch’ah Toh Almehen ซึ่งแปลว่า “ขอพระเจ้าอวยพรคุณ” (ในที่นี้ขอเรียกว่า นามอร์ เลยก็แล้วกันครับ เพื่อความเข้าใจที่ตรงกัน)
นามอร์เกิดมาพิเศษ เป็นมนุษย์กลายพันธุ์ที่สามารถหายใจได้ทั้งบนบกและในน้ำ เพราะใช้ผิวหนังดูดซับน้ำในอากาศบนบกได้ มีปีกอยู่ที่ข้อเท้าทำให้บินได้ ร่างกายยังคงสีเนื้อเหมือนมนุษย์บนบก หูแหลม และมีอายุยืนกว่าทาโลคานี่ด้วยกันไปอีก
ปี 1631 เฟนได้ตายลงไป เธอสั่งเสียให้ไปฝังศพเธอที่ผืนแผ่นดินเกิด นามาร์จึงนำศพแม่ขึ้นบกบริเวณยูกาตัง และพบเห็นชาวสเปนกำลังกดขี่ข่มแหงชนเผ่าชาวมายันเหมือนที่แม่เล่าให้ฟังบ่อยๆ นามอร์จึงฆ่าทหารสเปนเกลี้ยงค่าย ต่อมาชาวทาโลคานี่ก็ยกย่องให้นามอร์เป็น Kuk’ulkan ราชาของชาวทาโลคานี่
นามอร์ในวัย 60 ปี ยังคงรูปร่างเด็กอยู่ (Black Panther: Wakanda Forever) ปี 1693 ที่รัฐแมสซาชูเซตส์ ผู้ครอบครองคัมภีร์ดาร์คโฮลด์คนปัจจุบัน คืออกาธ่า ฮาร์คเนส แห่งซาเล็มโคเวน เธอศึกษาคัมภีร์จนใช้คาถารูนคล่องแคล่ว และมีพลังดูดชีวิตผู้อื่นมาต่ออายุตัวเอง เมื่อเหล่าแม่มดและแม่ของอกาธ่าเองในซาเล็มโคเวนด้วยกันล่วงรู้ จึงรีบไปจับตัวอกาธ่าเพื่อมาประหารโดยการเผาทั้งเป็น
แต่เหล่าแม่มดรวมถึงแม่ของอกาธ่าเอง ก็ถูกอกาธ่าใช้เวทย์ดูดชีวิต ทำให้แม่มดเหล่านั้นแห้งตายทั้งหมด หลังจากนั้นอกาธ่าก็มีชีวิตผ่านกาลเวลามาเนิ่นนานจากหลักสิบปี เป็นหลักร้อยปี เพราะดูดพลังชีวิตมนุษย์มาเติมอายุตนเองเรื่อยๆ
อกาธ่า ฮาร์คเนส แม่มดผู้ใช้คาถารูน (WandaVision ss1)[/center]
ปี 1942 ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 กำลังปะทุ เกิดการปะทะของกองกำลังทหารประเทศต่างๆ ไปทั่วทุกมุมโลก ผู้พัน โยฮัน ชมิธ ผู้นำแห่งกองกำลังไฮดร้าของนาซีเยอรมัน หลงไหลในตำนานเทพเจ้า และหวังจะมีพลังเช่นเทพเจ้าเพื่อยึดครองประเทศอื่น จึงพยายามบังคับให้ดร.เอินสกินสร้างเซรุ่มเหนือมนุษย์ฉีดให้ตนเองมีพลังเทียบเคียงเทพ
ที่เยอรมัน แต่ดร.เอินสกินไม่ยอม และหนีลี้ภัยมาที่อเมริกา ผู้พันชมิธจึงทดลองต่อยอดเอง และฉีดเซรุ่มสูตรที่ตนเองคิดค้น ผลทำให้มีพลังเหนือมนุษย์จริง แต่แลกมากับใบหน้าถูกแผดเผาเหลือแต่กระโหลก เซรุ่มทำให้กระโหลกกลายเป็นสีแดงอีกด้วย ผู้พันชมิธจึงกลายเป็น “เร้ดสกัลล์”
กำเนิดโหลกแดง (Cap 1) ที่อินเดีย แคลนเดสไทน์ได้ค้นพบกำไลดึกดำบรรพ์หนึ่งข้างที่วิหารเทนริงส์ในอินเดีย ในขณะนั้นกองทัพอังกฤษโจมตีอินเดียที่เป็นเมืองขึ้นอย่างหนักโทษฐานแข็งข้อ ทหารอังกฤษยิงระเบิดโจมตีวิหาร ทำให้แคลนเดสไทน์แตกกระเจิง ไอชาจึงนำกำไลสวมข้อมือ และแยกกับเพื่อนๆหนีไปอีกทาง
ไอชาสวมกำไลลึกลับ (Miss Marvel) ที่นอร์เวย์ เร้ดสกัลล์นำกองกำลังไฮดร้าบุกไปค้นพบกับ “แทซเซอแรค” ที่โอดินซ่อนไว้ในกำแพงวัดเมืองทอนสเบิร์ก เร้ดสกัลล์จึงร่วมมือกับดร.โซล่าวิจัยสร้างอาวุธจากพลังงานแทซเซอแรค เพื่อโจมตีฝ่ายสัมพันธมิตร
ที่อเมริกา ดร.เอินสกินร่วมมือกับผู้พันฟิลลิปส์ตั้งหน่วย SSR ที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อต่อกรกับไฮดร้าดยเฉพาะ โดยมีฮาเวิร์ด สตาร์ค วิศกรอันดับหนึ่งของอเมริกาเข้าร่วมด้วย และได้สายลับสาวอังกฤษคือ เอเจ้นท์ เพกกี้ คาเตอร์ มาคอยช่วยเรื่องข้อมูลในสนามรบ
ดร.เอินสกินให้ผู้พันฟิลลิปส์เฟ้นหาทหารอเมริกันที่เหมาะสม เพื่อฉีดเซรุ่มเหนือมนุษย์ในโปรเจครีเบิร์ธ แต่ทหารที่มีอยู่ในตอนนี้ล้วนไม่เหมาะ จนกระทั่งดร.เอินสกินพบกับ สตีฟ โรเจอร์ส ชายร่างเล็กแต่จิตใจกล้าหาญที่กำลังพยายามขอเกณฑ์ทหารมาหลายครั้ง แต่ไม่ติดทหารสักครั้ง ดร.เอินสกินมองว่า สตีฟนี่แหละเหมาะสมที่สุด สตีฟถูกฉีดเซรุ่มของดร.เอินสกิน จึงกำเนิด กัปตันอเมริกา หลังจากนั้นไม่กี่นาที ดร.เอินสกินก็ถูกสายลับไฮดร้ายิงตายลงไป
กำเนิดกัปตันอเมริกา (Cap 1) ติดตามบทที่ 4 ที่ที่เพจนี้ครับ....
[/glow]