• ชื่อไทย : ร่องรอยแห่งรักเรา
• ปีที่เปิดตัว : 2567
• เข้าฉายในไทย : 15 สิงหาคม 2567
• นำแสดง : Blake Lively, Justin Baldoni, Jenny Slate
• กำกับโดย : Justin Baldoni
• เขียนโดย : Christy Hall, Colleen Hoover
• ประเภท : Drama / Romance
• ความยาว : 130 นาที
• เรต : PG-13
• สร้างโดย : USA
• จำหน่ายโดย : Sony Pictures Thailand
เรื่องย่อ It Ends with Us เรื่องราวของ ลิลลี (เบลก ไลฟ์ลี) ที่ตกหลุมรัก ไรล์ คินเคด (จัสติน บัลโดนี) ศัลยแพทย์หนุ่มรูปหล่อ แต่เมื่อความสัมพันธ์ดำเนินไป เธอเริ่มเห็นด้านมืดของเขาที่ทำให้เธอนึกถึงความสัมพันธ์ที่เป็นพิษของพ่อแม่ และบาดแผลในวัยเด็กก็กลับมาหลอกหลอนอีกครั้ง สถานการณ์ยิ่งซับซ้อนขึ้นเมื่อ แอตลาส (ทาธัม คินเคด) รักแรกของลิลลีกลับมาปรากฏตัวอีกครั้ง ทำให้ลิลลีต้องเลือกเส้นทางชีวิตของตัวเองท่ามกลางความรัก ความเจ็บปวด และความหวัง
ถึงแม้ว่าหนังรักโรแมนซ์จะยังคงเป็นแนวหนังที่ไม่ตายและหายไปจากวงการฮอลลีวูดในเร็ว ๆ นี้แน่ แต่ต้องยอมรับว่าพื้นที่ของหนังรักได้ถูกกระชับลงเหลือแค่ในวงจรของหนังทางสตรีมมิงเท่านั้น โอกาสที่ขึ้นเป็นหนังจอใหญ่ฉายโรงในยุคสมัยนี้แทบจะริบหรี่ลงทุกที แต่การมาของหนังรักเรื่องล่าสุด อย่าง "It Ends with Us ร่องรอยแห่งรักเรา" กลายเป็นเหมือนการจุดประกายไฟแห่งหนังรัก ให้กลับมาโชติช่วงขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับพิสูจน์ให้เห็นถึงเส้นทางรอด ถ้าหากว่าคอนเทนท์ในมือมีดีจริง
รีวิวหนัง It Ends with Us ร่องรอยแห่งรักเรา It Ends with Us ร่องรอยแห่งรักเรา ดัดแปลงมาจากนิยายขายดีระดับโลกของ "คอลลีน ฮูเวอร์" ที่เป็นเรื่องราวของ ลิลลี่ บลูม หญิงสาวผู้เคยผ่านอดีตที่เจ็บปวดและบาดแผลในใจสมัยวัยเยาว์ เธอเริ่มต้นชีวิตใหม่ในบอสตันเพื่อเติมเต็มความฝันที่จะมีธุรกิจเล็กๆ เป็นของตนเอง เมื่อลิลลี่ได้พบกับศัลยแพทย์หนุ่มเจ้าเสน่ห์ ไรล์ คินเคด ไฟรักก็ได้สปาร์กขึ้น แต่ทว่าเมื่อทั้งสองตกหลุมรักกันและกัน เธอกลับเริ่มที่จะมองเห็นตัวตนอีกมุมหนึ่งของไรล์ ที่ตอกย้ำให้เธอย้อนนึกถึงร่องรอยรักและเรื่องราวในอดีต
บอกตามตรงเลยนะ It Ends with Us ก็ถือหนังที่หยิบและถอดแบบมาจากต้นฉบับนิยายแบบจ๋า ๆ แน่นอนว่าอรรถรสและเนื้อแท้ของหนังจึงออกมามีกลิ่นอายความน้ำเน่าคละคลุ้ง กับทิศทางเรื่องราวที่เดาได้ไม่ยากอะไรเลย เผลอ ๆ มันก็แทบจะไม่ต่างจากพวกหนังจากนิยายดังของ นิโคลัส สปาร์กส์ เมื่อสัก 10-20 ปีก่อนอะไรทำนอง ที่บัดนี้คอนเทนท์เหล่านั้นมันได้ล้มหายตายจากจากจอใหญ่ไปแล้ว แต่โชคดีที่ว่าการดัดแปลงกิมมิกนิยายออกมาเป็นหนังเรื่องนี้ ดันได้อรรถรสที่สร้างรสชาติที่กลมกล่อมแบบใหม่ ๆ ได้อยู่บ้าง
หนังได้มือเขียนบทดาวรุ่งหน้าใหม่ "คริสตี้ ฮอลล์" มารับหน้าที่ละเลงบทหนังเรื่องนี้ให้ ที่ต้องยกนิ้วให้กับการวาดลวดลายลงไปบนหน้ากระดาษบทหนังของเธอจริง ๆ เพราะกลายเป็นว่านี่คือบทหนังรักที่ใส่ห้วงอารมณ์ให้ค่อย ๆ เข้าแทรกซึมตัวไปกับบรรยากาศในโรงหนังได้อย่างมั่นเหมาะ ถึงแม้ว่าโครงสร้างเรื่องราวอะไรต่าง ๆ จะเป็นพล็อตที่ธรรมดาไปทั้งหมด แต่กลับมีลูกเล่นหลาย ๆ อย่างที่ตกผลึกออกมาเป็นจังหวะหนังรักที่กำลังหอมปากหอมคอพอดี ไม่เลี่ยนจนไป ไม่ฟุ้งเฟ้อเกินเหตุ สร้างแวดล้อมโดยรวมให้คนดูได้คล้อยตามไปกับตัวหนังได้อย่างลื่นไหล
นี่ก็คือผลงานการกำกับของนักแสดงหนุ่มมากฝีมือ "จัสติน บัลโดนี" ที่ขอเอ่ยถึงในพาร์ทการทำงานเบื้องหลังก่อน ต้องยอมรับว่าหนุ่มคนนี้เอาได้อยู่หมัดอีกแล้ว เพราะว่างานสร้างหนังรักคลุกเคล้าดรามาเชิงอารมณ์ก็ยังเป็นผลงานแนวถนัดของอีกเหมือนเคย และถือว่ากลับมามือขึ้นต่อเนื่องจากผลงานชิ้นก่อน อย่าง Five Feet Apart อีกหนังรักยุคใหม่ที่ยังตราตรึงผู้ชมอยู่ ด้วยงานสร้างที่ค่อนข้างละเมียดละไม ใส่องค์ประกอบความเป็นหนังรักได้อย่างครบถ้วน
แม้ว่างานกำกับของเขาจะยังพบเห็นจุดบกพร่องอยู่บ้างประปราย แต่กลับมองว่าเป็นจุดบอดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่สามารถมองข้ามไปได้อย่างไม่ใส่ใจ การหยอดใส่จังหวะจะโคนความเป็นหนังรักยังคงทำได้ดีเด่น แต่จะมีก็แค่ความกระชับของตัวหนังที่อาจจะยังไม่คล่องตัวมากนัก เพราะกลายเป็นหนังที่มีความยาว 2 ชั่วโมงจัดจ้าน ที่ก็พบว่าในตัวหนังยังมีอะไรบางอย่างที่พอจะตัดทอนออกไปได้บ้างอยู่เหมือนกัน แต่ก็นับว่าโชคดีที่ความยาวของหนังก็ไม่ใช่อุปสรรค ในเมื่อในส่วนของการเล่าเรื่องยังทำได้ดี
แน่นอนว่างานสร้างหนังรักจะไปไม่ได้เลยก็คือการใส่องค์ประกอบโปรดักชั่นต่าง ๆ การออกแบบฉากเรื่องนี้ทำได้โฟลว์มาก ดีไซน์แวดล้อมต่าง ๆ สะท้อนถึงความเป็นบอสตันออกมาได้อย่างอบอวล ฉากหลักเด่น ๆ ของหนังก็ประกอบร่างออกมาค่อนข้างดี รวมทั้งงานคอสตูมดีไซน์ เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายในเรื่องนี้ดูจัดที่ชุด เป็นหนึ่งในไฮไลต์ที่พึงมีในกระบวนท่าของหนังรักจริง ๆ เพราะได้ "เอริก ดาแมน" แห่งซีรีส์ Gossip Girl ที่แน่นอนว่าเขารู้สไตล์ของดารานำเป็นอย่างดี
"เบลค ไลฟ์ลีย์" ที่เอาจริง ๆ เธอก็เว้นช่วงในการรับงานแสดงไปใช้ชีวิตกับครอบครัวมาสักระยะหนึ่ง น่าจะการเบรกพักยาว ๆ ตอนโควิด-19 แล้วกลับมาหนนี้ก็หวนกลับมาจับหนังแนวถนัดของตัวเองอีกครั้ง ผลลัพธ์ที่ได้ออกมาก็คือความเจิดจรัส ที่แม่เบลคแบกหนังทั้งเรื่องเอาไว้ด้วยสองบ่าเล็ก ๆ ได้อย่างแข็งแรง โดยเฉพาะก็พ่นปล่อยเคมีและเสน่ห์ของเธอออกมาฟุ้งไปหมดตลอดระยะเวลาของหนังเรื่องนี้ และไม่ว่าจะไปประกบคู่กับใครก็ยังเปล่งประกายไปด้วยความลงตัวที่หมดจด
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าสิ่งที่ดีที่สุดของ It Ends with Us ก็ถือการแสดงอันเป็นธรรมชาติของแม่เบลค ที่โชว์ศักยภาพการเป็นดาราหนังรักออกมาได้เลอค่า ที่สัมผัสได้ชัด ๆ ว่าเธอมีส่วนร่วมและอิสระในการปลดปล่อยกับถ่ายทอดตัวละครนี้ออกมาในรูปแบบของเธออย่างเต็มที่ ที่เหลือก็เป็นกำไรของคนดูที่ได้เห็นการปล่อยเสน่ห์ที่ทำให้ต้องเคลิบเคลิ้มไปตลอดทางได้อย่างชวนมอง
ขณะที่ จัสติน บัลโดนี ในโหมดการแสดง ก็รับมือบทบาทเบื้องหน้าได้อย่างน่าทึ่งเช่นกัน นี่คือบทบาทที่ค่อนข้างมีความซับซ้อนในเชิงอารมณ์แบบล่องหน ที่เขาก็สามารถถ่ายทอดออกมาได้อย่างทรงเสน่ห์ พร้อม ๆ กับสร้างบรรยากาศชวนอึดอัดและกระอักกระอ่วนขึ้นได้ไปพร้อม ๆ กัน เป็นอีกหนึ่งครั้งที่เข้าได้มีโอกาสท้าทายทักษะการแสดงจากบทบาทที่ค่อยข้างมีมิติดีจากในหนังเรื่องนี้
ทางด้านนักแสดงสมทบคนอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น "เจนนี สเลต" เป็นเจ้าแม่ขโมยซีนประจำเรื่องนี้ เธอยังหยอดจังหวะคอมเมดี้อันเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองมาช่วยเบรกอารมณ์ในหนังเรื่องนี้ได้ดี และ "แบรนดอน สเกลนาร์" ดาราหนุ่มที่เข้าวงการมาก็นานแล้ว แต่ยังไม่ดังสักที ดูเหมือนว่าเรื่องนี้สปอตไลต์จะเริ่มฉาดแสงไปหาเขาบ้างแล้ว แม้ว่าบทบาทที่เขาได้รับในหนังจะค่อนข้างเห่ยไปสักหน่อยก็ตามที
โดยภาพรวมแล้ว It Ends with Us จัดว่าอยู่ในขั้นที่น่าประทับใจกับผลลัพธ์ที่ออกมาไม่น้อย ถึงมันจะเป็นพล็อตที่ไม่ได้เกินคาด กลิ่นอายน้ำเน่าสไตล์หนังรักจากนิยายดัง แต่อย่างน้อย ๆ การดัดแปลงบทหนังเรื่องนี้ทำออกมาได้ค่อนข้างมัดใจคนดูได้เป็นอย่างดี เป็นหนังที่สามารถมาช่วยกอบกู้สถานการณ์วงการหนังรักในช่วงนี้ได้อย่างเบ็ดเสร็จ อาจจะมีความเห่ยและเชยปะปนอยู่บ้าง แต่ก็เป็นอรรถรสที่พึงมีในหนังเรื่องนี้อย่างมีเหตุผล
จัสติน บัลโดนี ก็ทำได้ดีในการเป็นผู้กำกับหนังและนักแสดงนำของเรื่อง เขาคอนโทรลงานทั้งสองส่วนได้อย่างเป็นมืออาชีพ และใครก็ไม่อาจจะดับแสงอันเจิดจ้าในการคัมแบ็กของ เบลค ไลฟ์ลีย์ ไปได้ เพราะกลายเป็นบทหนังที่เข้าทางเธอเป็นอย่างดี และได้ทุ่มเทกับมันในฐานะผู้อำนวยการสร้างตัวด้วยเอง ดังนั้นถ้าหากจะยกให้ It Ends with Us เป็นหนังรักแห่งปี 2024 อันนี้ก็ไม่ติดขัดใด ๆ