ผู้เขียน หัวข้อ: บทที่ 608 ชุมทางหนังไทยในอดีต เสนอ เพชรพระอุมา..ของบุญติดภาพยนตร์  (อ่าน 2875 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ นายเค

  • Thaicine Movie Team
  • Moderator
  • พี่น้อง thaicine Gold member
  • ***
  • กระทู้: 3814
  • พลังใจที่มี 616
  • เพศ: ชาย

บทที่ 608
ชุมทางหนังไทยในอดีต เสนอ
เพชรพระอุมา..ของบุญติดภาพยนตร์
โดย มนัส กิ่งจันทร์

(facebook 28 ตุลาคม 2557)


         เพชรพระอุมา.. บทประพันธ์ของ พนมเทียน สร้างเป็นหนัง 35 มม.พากย์เสียงในฟิล์ม นำแสดงโดย รพินทร์ ไพรวัลย์-สุทิศา พัฒนุช-อดุลย์-ชนะ-ประจวบ-มาณี-ล้อต๊อก-พ.ต.ต.ประชา สร้างโดย วิทยาภาพยนตร์ โดย วิทยา เวสสวัฒน์ เป็นผู้อำนวยการสร้าง.. กำกับการแสดงโดย ส.อาสนจินดา เข้าฉายครั้งแรกวันที่ 12 สิงหาคม 2514 ที่โรงหนังศาลาเฉลิมไทย..


โรงหนังศาลาเฉลิมไทย

         สวัสดีครับทุกท่าน.. วันนี้ ก็ยังคงอยู่กับความหลังอีกแล้วครับท่าน หนังเรื่องนี้ ตอนที่ฉายครั้งแรกในกรุงเทพฯ นั้น ผมยังเรียนชั้นประถมอยู่ ผมมาเห็นใบปิดหนังเพชรพระอุมาแบบนี้จริงๆ ก็หลังหนังเข้าฉายไปแล้ว 5-6 ปี เห็นครั้งแรก ก็เห็นจากบริการหนังกลางแปลงแห่งหนึ่งในจังหวัดสุรินทร์ ช่วงนั้น ผมน่าจะเรียนอยู่ช่วงประถมปลายแล้ว สมัยก่อนประถมปลายจะเป็นชั้น ป.7 (ปัจจุบันจะมีแค่ ป.6)

         ช่วงที่ผมเรียนชั้นประถมนั้น น่าจะประมาณชั้น ป.4 ผมก็ชอบฉายหนังสไลด์ วิธีฉายนั้น อย่างแรก เราก็ต้องมี แว่นขยาย เป็นเลนส์นูนซึ่งมีขายอันละ 5 บาทอันหนึ่งก่อน จากนั้นก็ต้องหาแหล่งแสงสว่างมาช่วย ถ้าเป็นกลางวัน ก็จะอาศัยแสงแดดโดยมีกระจกเงาช่วยส่องให้ แต่ถ้าเป็นกลางคืนก็จะใช้ไฟจากกระบอกไฟฉาย โดยต้องเลือกเอาหลอดไฟฉายที่รวมแสงมากที่สุด.. สิ่งสำคัญที่จะฉายหนังสไลด์ได้ ก็คือ เราต้องมีเศษฟิล์มหนังครับ..  และเราต้องไปหาเก็บเศษฟิล์มจากบริการหนังกลางแปลงที่เขาตัดฟิล์มเสียๆ ทิ้ง พอได้เศษฟิล์มมา ก็ต้องหาแผ่นกระดาษแข็ง มาเจาะรูสี่เหลี่ยมให้มีขนาดเท่าช่องของเนื้อฟิล์ม 1 เฟรม ถ้าเป็นฟิล์ม 16 มม. ช่องจะเล็กหน่อย ถ้าเป็นฟิล์ม 35 มม. ก็เจาะใหญ่ขึ้นมาอีก..แล้วก็เอาสต๊อกเทปปิดปิดทับบนรูหนามเตยไว้ ก็เป็นอันเสร็จวิธีสำหรับการทำแผ่นหนังสไลด์..


         เวลาฉายหนังสไลด์นั้น เราก็ต้องกลับหัวภาพในฟิล์มให้คว่ำลง เอาแสงส่องจากด้านหลังผ่านตัวฟิล์มไป พอแสงไปกระทบกับแว่นขยาย ภาพที่ปรากฏบนจอหนัง ก็จะมีภาพเป็นภาพหัวตั้งตามปกติ เพื่อนๆ นักเรียนและเพื่อนแถวๆ บ้านผม ต่างก็ชอบเล่นฉายหนังสไลด์กันหลายคน ก็ฉายกันตามผนังบ้าน บางทีก็ทำจอกระดาษ แต่สำหรับผม จะมีการทำจอหนังให้เหมือนจอหนังจริงๆ ถ้าฉายกลางคืน ผมจะเอาไฟฉายไปซ่อนไว้ในกระป๋องลูกอมเล็กดีรสโต ซึ่งจะคล้ายเตาอ๊าคมากๆ ยิ่งทาสีดำๆ ให้กระป๋อง ก็จะยิ่งเหมือนเตาอ๊าคขึ้นอีก สมัยนั้น ผมเดินหาเก็บเศษฟิล์มหนังได้มากกว่าใคร ไม่ว่าจะเป็นฟิล์มหนังข่าว หนังโฆษณาหรือฟิล์มหนังที่เป็นชื่อเรื่องหนัง จึงเป็นที่สนใจของเพื่อนๆ อย่างมาก เวลาฉาย ก็จะแห่กันมาดู..

   

         เมื่อสมัยเรียนชั้นประถม ผมก็แอบเอากระจก แว่นขยายและฟิล์มหนังไปโรงเรียนด้วย พอพักเที่ยง ก็จะแอบฉายหนังดูกันกับเพื่อนชื่อ ด.ช.ปัญญา วันไทย (เป็นลูกชายภารโรงโรงเรียน) ที่หลังเวทีของหอประชุมโรงเรียนเมืองสุรินทร์ เจอครูมาไล่บ้างก็มี แต่ถ้าเป็นกลางคืน ก็จะตั้งจอฉายเล่นๆ ในบริเวณบ้านตัวเอง บางทีก็เก็บสตางค์สลึงหนึ่งเอาไว้เป็นค่าถ่าน ค่าแบตเตอรี่ครับ.. ผมก็ฉายหนังสไลด์เล่นๆ แบบนี้ กระทั่งเพื่อนชื่อ โย ซึ่งมีพ่อเป็นเจ้าของบริการหนังกลางแปลง สมยศภาพยนตร์ สุรินทร์ มาชวนให้ไปฉายหนังกลางแปลงจริงๆ ครับ

         แล้วเรื่องเก็บเศษฟิล์มหนัง มันมาเกี่ยวอะไรกับหนังเรื่อง เพชรพระอุมา อย่างไร..มันก็เกี่ยวกันตรงที่ว่าเพราะผมไปเก็บเศษฟิล์มหนังที่บริการหนังกลางแปลงแล้วเห็นเขามีฟิล์มเรื่อง เพชรพระอุมา ครับ.. บริการหนังกลางแปลงที่ว่าชื่อ บุญติดภาพยนตร์ สุรินทร์ ตั้งสำนักงานอยู่ไกลจากบ้านผมมากๆ แต่เพราะความอยากได้เศษฟิล์มหนัง ก็เลยพาเพื่อนๆ เดินไปเก็บเศษฟิล์มกัน บริการบุญติดภาพยนตร์ เป็นบ้านไม้ แถวบ้านผมเขาเรียกบ้านแบบนั้นว่า บ้านห้องแถว อยู่ริมถนนปัทมานนท์ ทางที่จะไปร้อยเอ็ด เวลาเดินไป ก็ต้องเดินผ่านวงเวียนน้ำพุ ผ่านไปถึงสถานีรถไฟสุรินทร์ ข้ามทางรถไฟ ซึ่งเด็กๆ อย่างเราจะกลัวมากเพราะแม่เคยเล่าว่า เคยมีรถไฟชนกัน มีคนตายด้วย เราเป็นเด็ก เราก็กลัว แต่ก็ยังพากันเดินไป เดินจนไปถึงบริการบุญติดภาพยนตร์นั่นแหละ


         บริการบุญติดภาพยนตร์นั้น ตอนเด็กๆ ผมรู้แต่เพียงว่า เจ้าของเป็นโฆษกสถานีวิทยุกระจายเสียงที่ชื่อ นายบุญติด สุรประพจน์ ก่อนหน้านั้น นายบุญติดจะฉายหนัง 16 มม. ด้วยเครื่องหลอดก่อน ต่อมาก็เปลี่ยนเป็นฉาย 16 มม. ที่มีเตาอ๊าคแทน เห็นพ่อผมเคยเล่าให้ฟังว่า นายบุญติดจะฉายหนังเอง แล้วก็พากย์ด้วย ตั้งแต่ผมเกิดมา ยังไม่มีโอกาสได้ดูหนัง 16 มม.ของบริการบุญติดภาพยนตร์เลยครับ เคยมีครั้งหนึ่ง กำลังจะได้ดูอยู่แล้วเพราะเขามาตั้งจอฉายกลางสี่แยกใกล้บ้านผม เข้าใจว่าจะเป็นการฉายหนังฉลองทาง (คือตัดถนนใหม่) ผมเห็นจอหนังแต่หัววัน เขาตั้งไว้ ขอบจอหนังจะเป็นสีแดงๆ ไม่ใช่สีน้ำเงินเข้มเพราะคนว่าจ้างไปฉายเป็นคนจีน ต้องเอาจอขอบแดงไปฉาย ผมก็ป่วนเปี้ยนแถวจอหนังนั่นแหละครับ แต่ซวยหน่อยเพราะพอตกค่ำ ก็เกิดฝนตก ลมพัดแรงมากๆ จอหนัง 16 มม. ของนายบุญติดก็ถูกลมพัดขาดครึ่งจอเลยครับ หนังก็ฉายไม่ได้..

         จากนั้น ผมก็ไม่เคยได้ดูหนังบุญติดภาพยนตร์อีกเลยเพราะส่วนใหญ่เขามักจะถูกจ้างไปฉายตามบ้านนอกมากกว่า คนในเมืองเขาชอบจ้างแต่บริการหนังเหรียญชัย  ภาพยนตร์มาฉาย..


         บุญติดภาพยนตร์นั้น ช่วงที่ฉายหนัง 35 มม. จะมีหนังในไม่กี่เรื่อง ส่วนเรื่อง เพชรพระอุมา ที่มีนั้น ผมเคยไปยืนรอเวลาเขาก็กรอฟิล์มกลับไป กลับมา เพื่อจะเอาไปฉาย จำได้ว่า กระเป๋าใส่ฟิล์มหนังจะเป็นกระเป๋าอลูมิเนียม มี 3 กระเป๋าคือ มีฟิล์ม 9 ม้วนจบ ซึ่งตอนนั้น ผมก็สงสัยว่า หนังอะไรมันจะยาวขนาดนั้นเพราะที่เคยเห็นอย่างมากก็ 6-7 ม้วนจบเท่านั้นและเพราะเพิ่งเคยเห็นกระเป๋าหนังแบบอลูมิเนียมนี้เอง จึงจำหนังเรื่องนี้ได้แม่นยำ ผมไปเก็บเศษฟิล์มหนังที่บริการบุญติดเพียงไม่กี่ครั้งเพราะไม่ค่อยมีเศษฟิล์มให้เก็บ ใต้ถุนบ้านเขาจะเป็นใต้ถุนสูง ถ้าหน้าฝนก็จะมีน้ำขัง เวลาเด็กหนังกรอฟิล์มขาด เขาก็เอากรรไกรตัดทิ้ง ฟิล์มก็จะหล่นตกไปใต้ถุนเป็นส่วนใหญ่ หรือไม่บางทีไปเก็บไม่ทัน เขาก็กวาดเศษฟิล์มลงใต้ถุนไปหมดก่อน ก็เลยไม่ค่อยได้เศษฟิล์มหนังจากบุญติดภาพยนตร์

         จำได้ว่า ตอนที่เห็นฟิล์มเพชรพระอุมานั้น ฟิล์มจะเป็นสีแดงๆ แล้ว ซึ่งตอนเป็นเด็กๆ ผมเคยได้ยินเด็กหนังพูดว่า เป็นหนังถูกๆ ฟิล์มจึงแดงๆ ก็ฟังไปอย่างงั้นแหละครับ ไม่รู้อะไรกับเขาหรอก เคยไปเก็บเศษฟิล์มอีกบริการหนึ่ง เด็กหนังพูดว่า หนังไม่มีเส้น ผมยังเข้าใจว่า เป็นหนังไม่ใหญ่ไม่โตเพราะตอนเด็กๆ คนใหญ่คนโตเขาชอบมีเส้นกัน.. แล้วเพราะบุญติดภาพยนตร์ ไม่ค่อยได้ฉายหนังกลางแปลงในตัวเมือง ผมก็เลยไม่เคยได้ดูหนังเรื่อง เพชรพระอุมา เลยครับ กระทั่งต่อมามีการสมัครผู้แทนราษฎร นายบุญติดก็ลงสมัครกับเขาด้วย การหาเสียงสมัยก่อน เขาให้ฉายหนังหาเสียงได้ ให้แจกข้าวของได้ แต่หนังเรื่องนี้ก็ไม่อยู่ที่บุญติดภาพยนตร์แล้วครับ ก็อดดูอีกตามเคย.. นายบุญติดสมัครผู้แทนหลายครั้ง แต่ยังไม่เคยได้เห็นว่า เสียเงินไปมาก ก็เลยต้องขายหน่วยบริการหนังไป..


         ต่อมาเมื่อผมเรียนจบมหาวิทยาลัยแล้ว ผมเคยเจอนายบุญติดครั้งหนึ่ง ตอนนั้นแกได้เป็น ส.ส.จังหวัดสุรินทร์แล้ว ตอนนั้นผมกำลังฝึกงานอยู่แถวๆ กระทรวงมหาดไทย นายบุญติดเป็นเพื่อนกับหัวหน้าสำนักงานที่ผมไปฝึกงาน..  ผมก็เลยสอบถามความหลังถึงเรื่องหนังเก่าๆ แกก็เล่าให้ฟัง..  ถามถึงเรื่องฟิล์มเพชรพระอุมา แกก็บอกว่า ตอนเลิกหน่วยฉายหนัง ก็ขายให้คนอื่นไปหมดทั้งเครื่องฉาย ทั้งฟิล์มหนัง แต่ตอนนั้น ผมยังไม่คิดจะตามล่าฟิล์มหนัง ก็เลยไม่ได้ถามต่อว่า ขายให้ใคร ที่ไหน.. เพชรพระอุมา กับผม น่าจะจบลงแค่นั้นเพราะตอนนั้นเริ่มมีวีดีโอเทปให้เช่าแล้ว ผมก็ได้แต่รอว่า สักวันคงมีวีดีโอเพชรพระอุมาออกมาให้เช่า..  แต่ก็รอแล้วรอเล่า รอมาจนทุกวันนี้..


         เรื่องยังไม่จบครับ.. ช่วงที่เริ่มมีแผ่นวีซีดีใหม่ๆ ประมาณปี 2543 นั้น ผมกับเพื่อนๆ เริ่มจับกลุ่มกันที่ตลาดคลองถม เราเริ่มรู้แล้วว่า หนังบางเรื่อง อยากได้ ก็ต้องหาเอง.. เราก็ช่วยกันหาแถวๆ คลองถมนั่นแหละ ได้เป็นเทปบ้าง ได้เป็นฟิล์มบ้าง สุดแต่จะฟลุ๊คครับ จนมีอยู่วันหนึ่ง คนที่ขายเครื่องหนัง ขายฟิล์มหนังที่ผมชอบไปสุงสิงด้วยในคืนวันเสาร์ คนนี้ชื่อ ชาติ..เขาก็เห็นผมไปหา ไปดูหนังเขาทุกคืนวันเสาร์ ก็เลยเริ่มคุยกัน ตอนนั้นก็มีคุณโต๊ะ พันธมิตร เริ่มมาแจมด้วยแล้ว กระทั่งนายชาติ เขารู้ว่าคุณโต๊ะทำวีซีดีขาย เขาก็รีรออยู่สักพักเพราะคุณโต๊ะบอกว่า ถ้ามีฟิล์มหนังมิตรให้มาบอก จะซื้อเอง.. ก็ได้ฟิล์มหนังมิตรผ่านจากนายชาติคนนี้หลายเรื่องเหมือนกัน..

         กระทั่งอยู่มาคืนหนึ่ง ชาติก็บอกผมว่า เขาไปเจอแหล่งเก็บฟิล์ม 16 มม. แห่งหนึ่งที่อำเภอกบินทร์บุรี แต่พอไปจริงๆ กลับกลายเป็นฟิล์ม 35 มม. ชาติจึงยอมบอกว่า มีคนมาบอกว่า มีฟิล์ม อินทรีแดง ซึ่งตอนนั้น ชาติบอกว่า เป็นเรื่อง จ้าวนักเลง.. แต่ไม่ว่าจะเป็นหนังอะไร ถ้าเป็นหนังมิตรแล้ว คุณโต๊ะแกก็ลุยสุดๆ อยู่แล้ว พอได้ยินชื่อว่า จ้าวนักเลง ก็เลยนัดแนะกันไปบ้านที่เก็บฟิล์ม พอไปถึงบ้านปุ๊บ ผมเห็นคุณโต๊ะทำท่าไม่ตื่นเต้นเหมือนทุกครั้ง..  พอเข้าบ้านได้ ผมก็ปราดเข้าไปดูกระเป๋าหนังว่า มีเรื่องอะไรบ้าง ดูไป ดูมา ก็สงสัยว่า ทำไมมีแต่หนังที่เรามีแผ่นวีซีดีแล้วหว่า..  คุณโต๊ะก็แอบกระซิบผมบอกเรื่องที่ไม่ตื่นเต้นให้รู้ ผมก็ร้องอ๋อ..


         วันนั้น เพชรพระอุมา ที่ผมลืมๆ ไปแล้ว มันก็โผล่ขึ้นมาสะกิดผมอีกแล้วเพราะที่บ้านหลังนั้น ผมเห็นกระเป๋าฟิล์มหนังเขียนว่า เพชรพระอุมา อยู่ด้วย 1 กระเป๋า ผมบอกคุณโต๊ะ คุณโต๊ะก็บอกว่า เปิดดูซิมีฟิล์มหรือเปล่า พอเปิดกระเป๋าหนังดู ก็เห็นฟิล์ม 16 มม.อยู่ 3 ม้วน.. คุณโต๊ะก็ว่าน่าจะใช่ หันไปถามเจ้าของบ้านว่า ถ้าซื้อเรื่องเดียว ขายไหม เจ้าของบ้านบอกว่า ถ้าขาย ต้องขายทั้งหมดเกือบ 20 เรื่อง คุณโต๊ะก็ต่อรองกันไป ผมเองก็หยิบฟิล์มออกมาดู เห็นฟิล์มมีหนามเตย 2 ข้าง ก็งงๆ ว่า เพชรพระอุมา เป็นหนัง 35 มม. ถ้าทำเป็นฟิล์ม 16 มม.สโคป จะต้องมีร่องเสียงข้างหนึ่ง ก็ยกฟิล์มส่องดู จึงเห็นเป็นหนัง 16 มม.ธรรมดา..

         ด้วยความสงสัยจึงเอามือควานหากระดาษในกระเป๋า ก็พบว่า มีบทพากย์เน็บอยู่ด้วย คลี่บทพากย์อ่านดูจึงรู้ว่าเป็นเรื่อง แผ่นดินฉกรรจ์ มี ทักษิณ แจ่มผล เป็นพระเอก ก็เลยบอกคุณโต๊ะไป แกก็เลยไม่คุยต่อ... เป็นอันว่า วันนั้นเราก็ออกมาโดยไม่ได้ฟิล์มหนังสักเรื่องกลับมา

 

 


         เรื่องเพชรพระอุมา น่าจะจบได้แล้ว แต่อีกไม่นาน ระหว่างที่ผมคุยกับเพื่อนๆ ที่ตลาดคลองถม เรื่องเพชรพระอุมา ก็มาสะกิดใจอีกแล้วครับ คราวนี้ไม่ใช่ฟิล์มหนัง แต่เป็นพระเอกของเรื่องคือ คุณวิทยา เวสสวัฒน์ ซึ่งเป็นผู้สร้างหนังด้วย ผมเจอพี่แกที่ตลาดคลองถม ก็พูดคุยกันจึงทราบว่า แกกำลังตามหาฟิล์มหนังเรื่อง เพชรพระอุมา จึงมาหาข่าวแถวคลองถมก่อน แกบอกว่า ฟิล์มต้นฉบับอยู่ที่ต่างประเทศ จำไม่ได้ว่า ฮ่องกงหรือญี่ปุ่น แต่ถ้าจะไปเอาต้องใช้เงินเป็นล้านบาท แต่คนที่มาติดต่อซื้อหนังจากแก จะซื้อเพียงไม่กี่หมื่นบาท แกก็เลยลองมาตามหาฟิล์มเก่าๆ ดู เผื่อจะฟลุ๊ค ผมก็เล่าเรื่องตั้งแต่ฟิล์มที่สุรินทร์และเรื่องที่ไปเจอกระเป๋าหนังเพชรพระอุมาด้วย แกก็เลยให้เบอร์โทรไว้ว่า ถ้าเจอหรือมีข่าวก็โทรบอกด้วย.. แต่ผมก็ยังไม่เคยโทรเลยครับเพราะไม่เคยได้ข่าวเพชรพระอุมาอีกเลย

         สำหรับ เพชรพระอุมา ตอนออกฉายใหม่ๆ นั้น ก็ไม่ค่อยได้รับความนิยม โดนติหลายอย่าง แม้แต่ครั้งหลังที่ผมได้พบกับคุณวิทยาผู้สร้างและพระเอกของเรื่อง ก็ยังไม่ค่อยจะอยากพูดถึงหนังเรื่องนี้เลย บอกแต่เพียงว่า อยากลืมๆๆ ไม่อยากพูดถึงอีกแล้ว แต่ผมก็ซักไซ้จนคุณวิทยายอมคุยด้วย..  เพราะถึงอย่างไร เพชรพระอุมา ก็เป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์หนังไทย ครับ..

-------------------



สามารถ ยิ่งกว่า ใช่ฮะ หนังเรื่องนี้คือประวัติศาสตร์ ฝากคุณมนัสช่วยบอกคุณวิทยา(ถ้าเจอท่าน)ฮะ ว่ามีคนนึงละที่ชื่นชมหัวใจเข้มของคุณวิทยาที่ลงทุนสร้างเพชรพระอุมา หนังมันจะออกมายังไงมันก็เป็นประวัติศาสตร์ของหนังไทยเรื่องนึง เรื่องสำคัญด้วย เพราะมันสะท้อนให้เห็นใจที่ยิ่งใหญ่ของคนสร้าง และสร้างจากบทประพันธ์ที่ยาวที่สุดในโลกเรื่องนี้ และยังยืนยันคำเดิมฮะ ว่าถ้ามีโอกาสเจอตัวท่านสักครั้ง จะเดินยิ้มน้อยๆ ช้าๆ สวยๆ เข้าไปกราบและกอดท่านสักครั้ง


Punsak Puangpakdi จําได้ว่าตื่นเต้นมากที่ได้ดูเพชรพระอุมาที่เฉลิมไทย ตอนนั้นอายุประมาณ8ขวบ เพราะบ้านอยู่ถนนข้าวสาร ร้านสฺ ธรรมภักดี ฉากที่งูยักษ์โผล่ ขนาดตอนนั้นยังเด็กก็ว่างูมันดูแปลกๆดี ชอบคุณชนะ คุณสุทิศา ผมว่าถ้าตอนนั้นใช้พระเอกดัง หนังคงประสพความสําเร็จแน่

บรรพต ขำพึ่งตน หนังเรื่องนี้ เท่าที่จำได้ จะมีข่าวออกมาก่อนสร้างว่า พระเอกสมบัติ เรียกค่าตัวแพงบ้าง ติดต่อใครมาเล่นไม่ได้ คุณวิทยาเลยแสดงเอง ไม่ทราบว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร แต่ผลก็คือเป็นข่าวฮือฮาได้พอสมควรน่ะครับ ....แต่ขอชมคุณวิทยานะครับ ที่กล้าสร้างเรื่องนี้ ที่นับว่าเป็นบทประพันธ์ที่ผู้คนรู้จักกันแพร่หลายมากครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31 ตุลาคม 2014, 02:16:42 โดย นายเค »


สรพงษ์ ลิ้มทองคำ
5 หมู่ 7 ต.คลองตาคต อ.โพธาราม ราชบุรี 70120    E-Mail soraphol@hotmail.com
ธ.กรุงเทพ ออมทรัพย์ สาขา อาคารยาคูลท์ สนามเป้า   หมายเลขบัญชี  210-036236-3
ธ.ไทยพาณิชย์  ออมทรัพย์ สาขา บางเขน   หมายเลขบัญชี  041-273435-0
ติดต่อ 0909040355

ชมรมรักหนังกางแปลง โพธาราม ราชบุรี เรามาคุยกันได

ออฟไลน์ ชัยณรงค์เอนเตอร์เทนเม้นท์

  • คิดจะดัง ต้องใจกล้า สร้างสรรความดีสู่สังคม
  • มือใหม่ ปรับชั้นต้องโพสรวม 30 กระทู้
  • *
  • กระทู้: 23
  • พลังใจที่มี 3
  • ภาพยนต์กลางแปลงคือศิลปะอย่างหนึ่งที่มีชีวิตและจับต้องได้
 :GreenScarf (2):สุดยอดครับเรื่องนี้ถ้าเอาทำฉายใหม่ในยุคนี้คงสนุกมากแน่ๆครับ :yoyocici100:
นาย สันติ  แสงแก้ว
164/4 หมู่1ถ.ปากแพรก-อ่างเก็บน้ำหนองปลาไหล ต.ละหาร อ.ปลวกแดง จ.ระยอง 21140
โทร. 038-032-088-9 / แฟ็ก 038-032-089 มือถือ. 08-0564-5614 บัญชีธนาคารกรุงไทย
สาขา ท่าประดู่ เลขบัญชี่ 235-0-01223-9 ( คิดจะดัง ต้องใจกล้า สร้างสรรความดีสู่สังคม )