ผู้เขียน หัวข้อ: รัก 2 ปี ยินดีคืนเงิน  (อ่าน 115 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ เซียวเหล่งนึ่งฯ

  • Administrator
  • พี่น้อง thaicine Gold member
  • *****
  • กระทู้: 1576
  • พลังใจที่มี 3
รัก 2 ปี ยินดีคืนเงิน
« เมื่อ: 22 มิถุนายน 2019, 18:33:38 »

• ชื่ออังกฤษ : Love Battle
• ปีที่เปิดตัว : 2562
• เข้าฉายในไทย : 20 มิถุนายน 2562
• นำแสดง : ปรมะ อิ่มอโนทัย, เอสเธอร์ สุปรีย์ลีลา, ภาคภูมิ จงมั่นวัฒนา
• กำกับโดย :  วิรัตน์ เฮงคงดี
• ประเภท  : Romantic / Comedy
• สร้างโดย :  Thailand
• จำหน่ายโดย : M Pictures

เรื่องย่อ รัก 2 ปี ยินดีคืนเงิน

          "ความรัก" ไม่ว่าตอนเกิดขึ้นมันจะเร่าร้อนขนาดไหน แต่สุดท้ายก็ต้องมอดลงอยู่ดี โดยมีงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ยืนยันว่า ความรักที่ทำให้หัวใจเต้นแรงจะสามารถอยู่ได้เพียง 600 วัน แต่แท้จริงแล้ว "ความรัก" นั้นมีวันหมดอายุอยู่จริงหรือ ?

          แทน (ปรมะ อิ่มอโนทัย) นักคณิตศาสตร์ประกันภัย ผู้หาค่าสถิติประกันภัย ที่คำนวณแม้กระทั่งความสัมพันธ์ของคู่รัก หลังจากถูกแฟนสาวของเขาหักหลังอย่างเจ็บปวด ก็เกิดความคิดออกแบบประกันภัยรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า กรรมธรรม์ประกันรักแท้ 2 ปี ทวีทรัพย์ ซึ่งเป็นแบบประกันที่รับประกันเงินคืน 100% พร้อมดอกเบี้ยอีก 30% สำหรับผู้ถือกรมธรรม์ หากพวกเขาไม่เลิกกันภายในเวลา 2 ปี หลังจากเซ็นสัญญา

          หลังจากเปิดตัวแนวคิดประกันรูปแบบดังกล่าว ก็ได้รับความสนใจมากมาย แต่คณะกรรมการของบริษัท ต้องการให้เขาค้นหาข้อมูลเพื่อพิสูจน์ว่าผู้ถือกรมธรรม์ส่วนใหญ่จะเลิกกันในไม่ช้าก่อนจะถึงเวลา 2 ปี ตามสัญญา โดยมี จี๊ด (เอสเธอร์ สุปรีย์ลีลา) อดีตพนักงานบริษัทจัดหาคู่ที่ถูกย้ายมาอยู่ในทีมของ แทน ช่วยรวบรวมข้อมูลให้ แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เชื่อว่าความรักไม่สามารถคำนวณหรือวัดได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความเชื่อของ แทน ในขณะที่พวกเขาออกเดินทางเพื่อค้นหาคำตอบว่าผู้ถือกรมธรรม์จะเลิกกันหรือไม่ การต่อสู้ของพวกเขาที่มีเดิมพันเป็นศักดิ์ศรีก็ได้เริ่มต้นขึ้น

          7 ปีก่อนหน้า วิรัตน์ เฮงคงดี เดบิวต์สถานะผู้กำกับด้วย ‘ยอดมนุษย์เงินเดือน’ หนังตลกที่ว่าด้วยความอลหม่านในกลุ่มพนักงานออฟฟิศที่ปฏิบัติภารกิจยิ่งใหญ่ของบริษัทให้เสร็จก่อนหยุดปีใหม่ …7 ปีต่อมา ด้วยผลงานครั้งนั้น วิรัตน์เลยได้รับเลือกให้รับผิดชอบ ‘รัก 2 ปียินดีคืนเงิน’ ที่ว่าด้วยพนักงานบริษัทประกันผู้วางเดิมพันกับกรมธรรม์รูปแบบใหม่อันผูกโยงเข้ากับชีวิตคู่ของคน แต่กลับกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการปะทะกันระหว่างคนออกแบบประกันผู้ไม่เชื่อเรื่องความรัก กับพนักงานสาวผู้เชื่อมั่นในรักแท้

          จากพนักงานออฟฟิศสู่ชีวิตคนขายประกัน ดูเหมือนวิรัตน์ยังวนเวียนอยู่กับมนุษย์หนุ่มสาวที่ดิ้นรนกันเพื่อการเติบโตทางหน้าที่การงาน สถานะทางสังคม และเรียนรูหัวใจตัวเองไปพร้อมกัน แต่ครั้งนี้เขาทำการบ้านมากขึ้นกับวงจรของระบบการขายประกัน อาชีพที่ทั้งมีเกียรติและได้รับการปฏิบัติอย่างไร้เกียรติด้วยในคราวเดียวกัน

วิรัตน์มีมุมมองอย่างไรต่อคนขายประกันกันแน่…

ย้อนไปตอนที่จะทำ ‘ยอดมนุษย์เงินเดือน’ จนมาถึง ‘รัก 2 ปียินดีคืนเงิน’ ความคิดเราเปลี่ยนไปแค่ไหน

          เรื่องแรกมันมีเรื่องอยากเล่าเต็มไปหมด แล้วประเด็นคือเราพูดถึงความฝันกับการทำงาน ช่วงนั้นอะไรก็ตามที่สื่อสารกับวัยรุ่นมันพูดถึงเรื่องการทำตามความฝัน ซึ่งเรารู้สึกว่ากระแสหลักมันพูดถึงแต่อย่างนี้มันน่าสงสาร เลยมาตั้งคำถามว่ารูปแบบของความฝันมันต้องเป็นยังไงนะ? พอในภาพโฆษณาความฝันมันก็เป็นการออกอัลบั้ม การเดินทางท่องเที่ยว แล้วถ้าคนที่ทำแบบนั้นไม่ได้เขาไม่มีสิทธิมีความฝันเหรอ แค่อยากทำงานส่งเสียที่บ้าน แค่อยากมีงานที่มั่นคง ถือว่าเป็นความฝันได้มั้ย มันถูกตีค่าว่าคนที่ทำงานอยู่ในออฟฟิศเป็นคนไร้ความฝันเหมือนหุ่นยนต์ แต่ว่าที่จริงแล้วเงื่อนไขแต่ละคนมันไม่เท่ากัน

          แต่ความคิดของการทำหนังเรื่องนี้มันต่างกัน เรื่องแรกมันมีความเป็นเรื่องแรกด้วย เราอยากเท่ อันนี้มันดูคลิเช่ (Cliché – ซ้ำซากจำเจ) อันนี้มันตื้น อยากให้นักวิจารณ์ชม ไม่อยากเล่นใหญ่มาก แต่เรื่องนี้คิดคนละแบบ ไม่ได้คิดถึงความเท่ของตัวเองเลย เหมือนเราทำอาหารให้คนอื่นกิน เราพยายามคิดว่าคนน่าจะชอบอะไรก็หามาใส่ เรื่องนี้พยายามทำให้คนส่วนใหญ่มีความสุข ไม่อยากให้ตัวเองถูกยกย่องเชิดชู ไม่ต้องจำว่าใครเป็นคนทำหนังเรื่องนี้ก็ได้ แต่ไปดูแล้วมีความสุขกลับบ้าน สองชั่วโมงนี้ลืมความเครียดข้างนอกมันไป
วิรัตน์ (ซ้าย) ขณะกำกับ ‘รัก 2 ปียินดีคืนเงิน’
พอทำเรื่องเกี่ยวกับการขายประกัน เราได้รีเสิร์ชอย่างไรบ้าง

          เราก็มีเพื่อนที่ขายประกัน ก็ให้เขาเล่าโครงสร้างทั้งหมดว่ามันเป็นยังไง ทำให้เราเข้าใจได้ว่าประกันมันถูกออกแบบมาด้วยคอนเซ็ปต์อะไร และทำให้เรารู้ว่าคนที่โทรจิกเราเพื่อขายประกันมันทำให้ระบบเสีย มันไม่ได้ผิดที่ระบบแต่มันผิดที่คนที่ใช้วิธีที่มันคุกคามขายของ พอรีเสิร์ชจากเพื่อนมาก็ทำให้รู้ว่ากว่าประกันจะออกมาได้มันค่อนข้างซับซ้อน แล้วไอ้ความซับซ้อนมันเกิดจากอะไร ก็เกิดจากคนออกแบบประกันที่เราเรียกว่า ‘นักคณิตศาสตร์ประกันภัย’ ซึ่งเป็นอาชีพที่คนจะทำได้ต้องเก่งมาก ต้องเก่งเรื่องตัวเลข เรื่องกฎหมาย เรื่องความน่าจะเป็น เรื่องเศรษฐศาสตร์ ดังนั้น การออกแบบประกันก็คือการสร้างเงื่อนไขขึ้นมาเพื่อรวมเงินของคนจนได้เงินก้อนใหญ่แล้วขีดเส้นความเสี่ยงไว้เพื่อเอาเงินไปลงทุนตามที่ต่างๆ ที่เขาประเมินแล้วว่าเป็นที่ที่เซฟและจะได้เงินกลับมาแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นพันธบัตรรัฐบาล หุ้น ตราสารหนี้ อะไรต่างๆ เพื่อเป็นกำไรมาจ่ายเงินเดือนพนักงาน จ่ายค่าตัวแทนประกัน แล้วจึงนำเงินก้อนนี้มาดูแลคนส่วนน้อยที่จะต้องเคลม สมมติว่าร้อยคนที่ซื้อจากสถิติแล้วแค่ยี่สิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้นเองที่เคลม เราเอาเงินจากคนส่วนใหญ่มาดูแลคนส่วนน้อย ถ้าให้เข้าใจง่ายก็เหมือนเราทำประกันรถ เราก็ไม่อยากให้มันเกิดอุบัติเหตุหรอกแต่ซื้อไว้ก็เพื่อความอุ่นใจ เพราะถ้าเกิดอะไรขึ้นมามันก็หนักอยู่ถามว่าจ่ายไปเราจะได้ใช้มั้ย บางทีก็จ่ายเงินทิ้งเป็นสิบปี นักคณิตศาสตร์ประกันภัยก็ต้องคำนวณแล้วเพื่อบริหารความเสี่ยง

ถ้าให้ลองวิเคราะห์พระเอกของทั้งสองเรื่องที่คนนึงเป็นพนักงนบริษัทกับอีกคนเป็นนักคณิตศาสตร์ประกันภัย

          ที่จริงมีความคล้ายกัน เรื่องแรกเป็นคนที่มีเหตุผล เป็นยอดมนุษย์เงินเดือนเต็มขั้น ที่ทำทุกอย่างถูกต้องตามแบบที่มนุษย์เงินเดือนควรจะเป็น แต่ว่ามันเป็นความบังเอิญมากกว่าที่เราพยายามเลี่ยงที่จะทำยังไงให้ตัวละครไม่เหมือนกัน คนอาจจะชอบมีความเข้าใจแบบเหมารวม แต่ที่จริงเราเหมารวมไม่ได้หรอก เรื่องแรกพูดถึงคนที่จัดการทุกอย่างในชีวิตที่ถูกต้อง กับขั้วตรงข้ามซึ่งยุคนั้นก็คือเด็กแนว ขบถทุกอย่าง ชีวิตต้องอิสระ มันพูดถึงคนสองขั้ว เรื่องนี้มันพูดเรื่องความรัก ไอเดียจากเกาหลีเขาพูดว่าความรักของมนุษย์จำกัดอยู่แค่สองปีนั่นจริงมั้ย มันไม่ใช่สิ่งที่เราคุ้นเคยกับทฤษฎีนี้เท่ากับรัก 7 ปี มันเลยขยายไปสู่การตั้งคำถามว่ารักแท้มีจริงรึเปล่า จากคอนเซ็ปต์นี้เราเลยแบ่งให้พระเอกเป็นคนที่ไม่เชื่อว่ารักแท้มีจริงกับนางเอกที่เชื่อว่ารักแท้มีจริง เพื่อให้เขาแบ็ตเทิ้ลกันในความรัก แล้วให้เขามาเรียนรู้ผ่านการทำงาน การแข่งขัน

มุมมองต่อการขายประกันคุณเป็นอย่างไร

          อาจเป็นเรื่องของคนที่นิสัยไม่ดี ในที่นี้ไม่ใช่แค่บุคคลนะ อาจจะเป็นองค์กรหรือหน่วยงานที่สร้างนโยบายในเชิงยัดเยียดการขายจนทำให้คนแอนตี้ แล้วพอคนรู้สึกอย่างนี้เมื่อถูกรู้สึกหวังผลประโยชน์ก็จะปกป้องตัวเองโดยอัตโนมัติ แล้วผลพวงจากคนที่นิสัยไม่ดีบางคนไม่ว่าจะเป็นการจิก ตาม ตื๊อ โดยเขาไม่มองในภาพรวมว่าการกระทำแบบนั้นมันเสียทั้งระบบ ทั้งที่ประกันมันเป็นการวางแผนการเงินที่ซับซ้อนแต่ดีมาก มันทำให้ชีวิตมีความมั่นคง มีอนาคตที่ปลอดภัย จริงๆ ถ้าเจียดเงินมาซื้อประกันก็จะไม่มีเรื่องดราม่าว่าแก่จนป่านนี้ไม่มีเงินรักษาพยาบาล และเมืองไทยมีเปอร์เซ็นต์ของคนซื้อประกันน้อยมาก เรียกว่าคนไทยทั้งประเทศมีกรมธรรม์แค่ 20% เท่านั้น คนไทยยังไม่เห็นคุณค่าของการทำประกัน อาจเป็นเพราะว่าเราอยู่ในภูมิประเทศที่ไม่ตาย ในขณะที่ต่างชาติถ้าเขาไม่วางแผนเขาตายได้เลยนะ ยิ่งในประเทศเมืองหนาว เราเป็นชาติที่ไม่ต้องวางแผนเราก็อยู่ได้ คนไทยก็เลยไม่ค่อยสนใจเรื่องการวางแผน คปภ. (สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมผู้ประกอบการธุรกิจประกันภัย) ทำแคมเปญในต่างจังหวัดก็ไม่มีใครมา ต้องให้ไปเกณฑ์คนมา ต้องประกาศว่าแจกของถึงจะมา แล้วเขาแจกกรมธรรม์เลย เบี้ยสามพันบาทคุ้มครองห้าปี กับกระติกน้ำ ในสิบคนเลือกกระติกน้ำเก้าคน เพราะเขาคิดว่าเอากรมธรรม์ไปจะได้ใช้รึเปล่าก็ไม่รู้แต่กระติกน้ำได้ใช้แน่นอน หรือการที่คุณมีรถมอเตอร์ไซค์ก็เท่ากับคุณมีทองคนละสองเส้นอยู่ที่รถโดยไม่รู้ตัว นั่นคือพรบ.ที่บังคับให้ทำ คว่ำตายได้สองแสน ไม่มีใครรู้ เนี่ยคือความดีงามของระบบพวกนี้ รวมไปถึงระบบประกันสังคม ระบบที่คนเอาเงินมากองรวมกันแล้วใช้ประโยชน์จากเงินก้อนนี้ นอกจากมันจะขึ้นอยู่กับคนนิสัยไม่ดีและมันยังอยู่ที่ความไม่รู้ ความไม่รู้มันทำให้คนยิ่งกลัว

          หลายคนเคยถูกหลอกให้เข้าไปฟังสัมมนาการขายตรง และคนที่ชวนเราไปมันไม่พูดหรอก แต่จะมีคนนึงเป็นคนพูดซึ่งได้ถูกโปรแกรมมาแล้วให้พูดแบบนี้ เราก็งงว่าทำไมต้องทำอย่างนั้น พอคุยถึงได้เข้าใจว่าเขาไม่สามารถจัดระเบียบคนได้ เขาเลือกวิธีเดียวที่จะทำคือสิ่งที่ทำกับคนหมู่มากได้ง่ายกว่า เราอาจจะรู้ทันว่าอย่ามาหลอกขายฝันกู แต่บางคนเขาต้องการความฝัน ต้องการความมั่นคงในชีวิต อาจจะสงสัยว่าทำไมคนที่ขายตรงหรืออะไรเหล่านี้จะต้องโพสต์แต่เรื่องความสำเร็จ ก็เพราะเป็นอาชีพเขา เขาต้องแสดงออกให้ทุกคนเห็นว่าเส้นทางนี้มันดีจริง มีกินมีใช้ สร้างความมั่นใจ มันเป็นจิตวิทยาพื้นฐานของเขา

ภาพลักษณ์ของคนที่มองการขายประกันส่วนใหญ่ไม่ได้มองไปที่ตัวกรมธรรม์แล้ว แต่จะมองเป็นประเภทเดียวกับการขายตรง

          บ้านเราไม่ได้ตัดสินใจที่ข้อมูล เราตัดสินใจด้วยอารมณ์ นี่ไม่ได้พูดเองนะ ผู้ใหญ่ของวงการในตลาดหุ้นบ้านเราเป็นคนตั้งข้อสังเกต ตลาดหุ้นก็คือสมมติเราเป็นเจ้าของบริษัทที่มีแนวโน้มจะทำกำไรมากก็เลยเอาเข้าตลาด สมมติบริษัทผมมีมูลค่าร้อยล้าน ผมแบ่งห้าสิบล้านเอาไปเข้าตลาดโฆษณาว่าปีนี้เราจะผลิตหนังฮอลลีวูดไปตลาดโลก ผลประกอบการต้องดี หลังบ้านดูดี แม่งขายฝันล้วนๆ เลยเพื่อที่จะขายหุ้นนี้ ทั้งหมดทั้งมวลถูกไดรฟ์ด้วยสตอรี่และอารมณ์ เพราะงั้นกลับมาที่ประกัน มันไม่โรแมนติก มันจูงใจคนไม่ได้ มันเป็นการลงทุนระยะยาวที่ไกลเหลือเกิน

เรายังรู้สึกว่าการซื้อประกันเป็นความสิ้นเปลือง บางคนยังคิดว่าการซื้อประกันคือการแช่งตัวเองอยู่เลย ทั้งที่จริงๆ ยังไงเราก็ต้องตาย แต่อย่างน้อยเราก็ควรมีการวางแผน ต่อให้เกิดช็อคซีนีมาขึ้น ครอบครัวก็ยังเดินต่อไปได้ เรายังมองแค่ในระยะสั้นๆ วางแผนกันวันต่อวัน



ตัวอย่างหนัง


[Official Trailer] รัก 2 ปี ยินดีคืนเงิน LOVE BATTLE | 20 มิถุนายน ในโรงภาพยนตร์


ภาพนิ่ง โปสเตอร์ รัก 2 ปี ยินดีคืนเงิน (2019)

 
 
 
 
 


ภาพโปสเตอร์









« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22 มิถุนายน 2019, 18:35:23 โดย เซียวเหล่งนึ่งฯ »


เซียวเหล่งนึ่งฯ  นายพนมกร คำวัง (ตู่)
โทร 094-3619414, 086-4025293
อีเมล์: tuu414@scryptmail.com
Line: Touu-panomkornsmfjusthost@gmail.com
ชื่อบัญชี : นายพนมกร คำวัง
ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาบิ๊กซีนครปฐม ออมทรัพย์ เลขบัญชี : 830-209795-5   
ธนาคารกรุงเทพ สาขาโลตัสนครปฐม ออมทรัพย์ เลขบัญชี : 637-001757-