• ชื่ออังกฤษ : Hor Taew Tak 8
• ปีที่เปิดตัว : 2564
• นำแสดง : จตุรงค์ พลบูรณ์, วีรดิษฐ์ ศรีมาลัย, ติ๊ก กลิ่นสี
• กำกับโดย : พชร์ อานนท์
• ประเภท : Comedy
• สร้างโดย : Thailand
• จำหน่ายโดย : FILM GURU Official
เรื่องย่อ หอแต๋วแตกแหกโควิดปังปุริเย่ หลังจากเหตุการณ์ในแหกต่อไม่รอแล้วนะได้ไม่นาน เจ๊แต๋ว (จตุรงค์ พลบูรณ์) และ อาโคย (วีรดิษฐ์ ศรีมาลัย) ที่ตอนนี้เป็นคนดูแลหอแต่แล้วก็เกิดเชื้อไวรัสประหลาดที่ทำให้คนกลายเป็นผีจนทำให้ทั้งหอถูกปิดตายจากภายนอกเป็นเวลา 14 วัน เจ๊แต๋วและอาโคยพร้อมกับคนในหอ จึงต้องหาทางร่วมมือกันเผชิญหน้ากับวิญญาณร้ายที่น่ากลัวไม่แพ้วิญญาณตนไหนๆ เสริมทัพด้วย เจ๊พยูน (ติ๊ก กลิ่นสี) ที่กลับตัวกลับใจหันมาทำอาชีพสุจริตแต่ก็ยังไม่วายเข้ามาพัวพันกับเรื่องนี้อีก แถมคนในหอแต่ละคนก็ไม่ธรรมดา มิหนำซ้ำ แพนเค้ก (เจริญพร อ่อนละม้าย) ผีสาวที่ควรจะได้ไปเกิดใหม่นั้นดันกลับมาที่โลกด้วยเหตุบางอย่าง ทำให้การคืนฟอร์มของกลุ่มหอแต๋วแตกที่รุ่นเก่ายังเก๋าอยู่และรุ่นใหม่ที่ต๊าซไม่เบาจึงเกิดขึ้น เรื่องราวจะจบยังไง จักรวาลหอแต๋วแตกจะไปได้ไกลอีกแค่ไหน เชื้อร้ายหรือกะเทยปากแซ่บ ฝ่ายไหนจะเป็นฝ่ายมีชัย
หอแต๋วแตก แหกโควิดปังปุริเย่ ผลงานลำดับที่ 8 ของหนังในจักรวาลหอแต๋วแตก กำกับภาพยนตร์โดย พชร์ อานนท์ ซึ่งหนังยังคงความสนุกในแบบฉบับของหอแต๋วแตก แต่ในภาคนี้เพิ่มความสดใหม่ของเหตุบ้านการเมือง สถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 เข้าไปมากมาย นำเหตุการณ์ ดราม่า มุกสนั่นโซเชียล ร้อยเรียงจากปี 2019 สู่ ปัจจุบัน เล่ามาเป็นเนื้อเรื่องได้อย่างลื่นไหลและสนุกสนาน
เรื่องราวของ หอแต๋วแตก แหกโควิดปังปุริเย่ เกิดขึ้นในปีปัจจุบันท่ามกลางการแพร่ระบาดของสถานการณ์โควิด-19 เจ๊แต๋ว และ อาโคย มาดูแลโรงแรมสตรีทโฮเทล ซึ่งมีแขกที่มาเข้าพักคือพระมหาเทวีเจ้าแห่งเมืองทิพย์ และ เจ๊พะยูน ตัวร้ายระดับตำนานหวนกลับมาอีกครั้งเพื่อหวังจะทำลายให้โรงแรมใหม่แห่งนี้ย่อยยับ พร้อมกับตัวละครสุดฮา ทั้งคู่จิ้นไบรท์-วิน ซึ่งต่อมาในโรงแรมได้เกิดเหตุการณ์ผิดปกติจนนำมาสู่การออกอาละวาดของเหล่าผีซอมบี้ ร้อนไปถึงอีแพนเค้กและ ตัวละครเจ๊น้องใหม่ เปรี้ยว-หวาน ต้องมาช่วยสืบหาต้นตอไขปริศนาหาสาเหตุของความปั่นป่วนครั้งนี้
สำหรับ หอแต๋วแตก แหกโควิดปังปุริเย่ นับเป็นอีกภาคที่ดีที่สุดของหอแต๋วแตกเพราะเสิร์ฟความบันเทิงแบบจัดเต็มตั้งแต่ต้นเรื่องจนถึงฉากท้ายเครดิต เรียกได้ว่าไม่ปล่อยให้คนดูได้พักหายใจหายคอกันเลย พชร์ อานนท์ เก็บครบทุกมุกทันสมัย จิกกัดทุกประเด็นแต่ยังคงไม่หลงลืมมุกในตำนานที่เคยใช้ในภาคก่อนๆ มาสอดแทรกให้คนดูได้หายคิดถึง
เนื้อเรื่องมีความแน่นปังแบบสุดๆในเรื่องของตัวละครที่อยู่ในจักรวาล แม้จะมีตัวละครใหม่เข้ามาก็ยังเชื่อมโยงกับตัวละครเก่าๆได้ด้วย มุกหลายมุกสร้างเซอร์ไพรส์ให้กับคนดู จนคิดว่าพชร์ อานนท์ ต้องใช้เวลาถ่ายทำและตัดต่อใหม่กี่ครั้งกว่าจะออกมาเป็นเวอร์ชั่นที่สดใหม่ สมบูรณ์แบบจนคนดูฮาสนั่นขนาดนี้ หอแต๋วแตก จึงไม่ได้เป็นแค่หนังหอวิ่งหนีผีธรรมดา แต่ยังควรค่าแก่การเป็นหอจดหมายเหตุของสังคมไทยในยุคสมัยใหม่อีกด้วย
สำหรับเรื่องบทยอมรับว่าทำใจไว้ก่อนดูแล้วครับว่ามันต้องเป็นแกงโฮะเหตุบ้านการเมืองและกระแสต่าง ๆ เข้ามาแบบไม่สนความต่อเนื่องอะไรนัก ซึ่งมองเผิน ๆ เราก็ต้องยอมรับว่าพชร์ อานนท์เขาช่างสังเกตและหยิบจับประเด็นดังในโลกโซเชี่ยลมาเล่นในหนังได้แบบครบถ้วนกระบวนความเพราะนอกจากฉาก (ที่กำลังจะกลายเป็นอดีต) พส. ไพรวัลย์ สุวรรณโน มาเล่นมุกในหนังที่ถูกตัดออกแล้ว ทุกอย่างอยู่ครบที่มาเป็นภาพก็มีทั้งปาร์ตี้ดีเจมะตูมที่กลายเป็นซูเปอร์สเปรดเดอร์ กรณีไลฟ์สดก่อนหนีออกจากโรงพยาบาลของคุณณวัฒน์ อิสรไกรศรี กระแสความดังของซีรีส์ ‘Squid Game’และหนัง ‘ร่างทรง’ หรือกรณีของรัฐบาลจะเชิญลิซา แบล็กพิงค์มาร่วมงานปีใหม่ที่ภูเก็ตไปจนถึงกรณีของผู้กำกับโจ้ครอบถุงดำที่ดูหนักมือไปหน่อยในความคิดผม
หรือที่มาเป็นคำพูดก็มีทั้งข่าวของลุงพลบ้านกกกอก มุกที่จริงแล้วฉันเป็นผู้บริหารของละครสั้นคุณธรรมที่ตอนแรกพชร์ อานนท์พยายามทาบทามพลอย ชิดจันทร์มาเล่นฉากหลังเอนด์เครดิตแล้วแต่ไม่สำเร็จ หรือกรณีวัคซีนขาดแคลนของรัฐบาลไปจนถึงความดังของซีรีส์วายที่ขอหยิบยืมตัวละครไบร์ตวินมาเซอร์วิสแฟน ๆ แม้ไม่ใช่ตัวจริงมาเล่นแต่นิกกี้ ณฉัตรกับโดม เพชรธำรงชัยก็หมั่นเซอร์วิสซะจนเกินหน้าจนวายแทบกลายเป็นเอ็กซ์อยู่แล้ว และที่ขาดไม่ได้ก็บรรดาเน็ตไอดอลที่ขนกันมาหมดแอปพลิเคชันแบบจิ้มเลือกนึกหน้าใครนี่มาหมดเลยซึ่งเราคงไม่ต้องสาธยายกันล่ะนะครับว่ามีใครบ้าง
และแน่นอนว่าในแมื่อตั้งใจจะล้อเหตุบ้านการเมืองก็แน่นอนล่ะว่า “พลอตหนังก็แค่ทฤษฎี” เพราะในทางปฏิบัติแล้วอ้างอิงจากคำสัมภาษณ์ของคุณพชร์เองที่ยอมรับว่าตัวเองทำงานแบบไม่มีบท เราก็เลยเห็นเหตุการณ์แต่ละเหตุการณ์ถูกเรียงร้อยต่อกันเพื่อรองรับมุกตลกและที่เห็นมาตลอดคือท่าทีทีเล่นทีจริงที่อนุญาตให้คนดูได้เห็นอาการหลุดของนักแสดงหรือการด่ากันแบบหลุดคาแรกเตอร์บ้างซึ่งตรงนี้ยอมรับว่าเป็นเสน่ห์และเป็นลายเซ็นของหนังชุดหอแต๋วแตกที่ยากจะมีใครเลียนแบบนะครับและคุณพชร์ก็รักษาเอกลักษณ์ตรงนี้ไว้ได้ดี
แต่กระนั้นหากมองแบบคนดูทั่วไปเลยที่ต้องการความบันเทิงจาก ‘หอแต๋วแตกแหกโควิดปังปุริเย่’ ก็แน่นอนว่าคือความสนุกและความเบาสมองซึ่งยอมรับเลยว่าช่วงครึ่งแรกหนังทำหน้าที่ได้ดีมาก ๆ เรียกเสียงหัวเราะจากคนดูได้ต่อเนื่องอีกทั้งตัวละครใหม่อย่างพระมหาเทวีเจ้ากับนางทิพย์ก็ดูเป็นตัวละครที่มีเสน่ห์พอจะโฮลด์คนดูให้อยู่กับเรื่องได้ แต่เพียงไม่นานหลังฉากปาร์ตีที่หนังจะเข้าสู่การเล่าเรื่องอย่างจริงจัง อยู่ดี ๆ ทิศทางหนังก็เป๋ไปมาระหว่างจะเล่าพลอตผีในหอซ้ำ ๆ ซาก ๆ เหมือนที่ผ่านมากับการพยายามยัดบทบาทให้บรรดาเน็ตไอดอลและมุกล้อโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ซะจนหนังไร้ทิศทางและความสนุกก็ดร็อปลงไปเยอะเหลือเกินหากเทียบแค่ ‘พจมานสว่างคาตา’ ของพชร์ อานนท์เองที่ฉายปีก่อนและเล่นกับกระแสของเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ดีกว่า
นอกจากบรรดานักแสดงเก่า ๆ จะตบเท้ากลับมารับบทเดิมของตนแล้วนักแสดงใหม่ที่ถูกเพิ่มเข้ามาก็มีความน่าสนใจและน่าเสียดายอยู่ในที เช่นคู่หูเดอะสตาร์ โดม จารุวัฒน์ กับ ตั้ม วราวุฒิ ที่มาแต่งหญิงและเล่นเป็นกะเทยได้คือมาก ๆ (หมายถึงเหมือนมาก ๆ นะครับ) ทั้งคู่แทบจะเป็นไฮไลต์ในการเรียกเสียงฮาหลักของหนังจนแทบจะเป็นบทนำแทนเจ๊แต๋วอยู่มะรอมมะร่ออยู่แล้วแต่เนื่องจากหนังต้องแบ่งเวลาให้นักแสดงคนอื่น ๆ ที่ฝีมือก็ไม่มากเท่าจนน่าเสียดายในผลงานการแสดงที่ทั้งคู่ทุ่มเทขนาดนี้
หรือจะเป็นนิกกี้ ณฉัตรกับโดม เพชรธำรงชัย ที่ความจริงแล้วพชร์ อานนท์สามารถทำให้คู่ตัวละครไบร์ทวินในฉบับของเขาที่ใส่ยูนิฟอร์มไลน์แมนเป็นได้มากกว่าแค่คู่เกย์หื่นที่แต่ละมุกบอกตามตรงว่าดูด้วยความไม่สบายใจเลย เพราะหลายครั้งที่หนังผลักพวกเขาให้กลายเป็นวัตถุทางเพศและไม่ยกระดับภาพลักษณ์ของกลุ่ม LGBTQ+ นักจนน่าเสียดาย อีกอย่างการใส่ยูนิฟอร์มสปอนเซอร์ของหนังยังอาจทำให้ภาพลักษณ์ของแบรนด์ดูไม่ค่อยดีเท่าที่ควรอีกด้วย
แต่ในหลายส่วนที่ไม่ชอบก็ยังมีจุดที่น่าชื่นชมเล็ก ๆ น้อย ๆ นะครับโดยเฉพาะการล้อวงการบันเทิงนี่แหละ แต่ขอข้ามซีน’Squid Game’ นะครับอันนั้นเล่นง่ายไปหน่อย แต่กับซีน ‘ร่างทรง’ นี่เป็นไม่กี่ครั้งที่เห็นเลยว่าการล้อเลียนก็สามารถเล่าเรื่องให้หนังคืบหน้าได้จนอดสงสัยไม่ได้ซีนนี้น่าจะอยู่ในแผนตั้งแต่ตอนถ่ายทำแล้วหรือเปล่า ? แต่ผลลัพธ์ของมันก็ออกมาดีกว่าคิดไว้เยอะเลย
หรือจะเป็นการนำไอดอลที่มีปมด้อยด้านการพูดอย่างหนูรัตน์กับอีกท่านที่มีลักษณะไม่ต่างกันมาแสดงหนังและทำให้ซีนนั้นมีความคิดสร้างสรรค์ด้วยการเอารูปแบบของหนังเงียบมาปรับใช้ทั้งการขึ้นแคปชันและทำซับไตเติลซึ่งก็เรียกเสียงหัวเราะและเป็นการเซอร์วิสแฟน ๆ ไปในตัวและที่น่าชื่นชมคือสามารถดันทุรังให้กลายเป็นการเล่าเรื่องในหนังได้อีกด้วยอันนี้ถือว่าชื่นชมเลยนะครับ
สรุปแล้ว ‘หอแต๋วแตกแหกโควิดปังปุริเย่’ ก็คงเหมาะกับผู้ที่ติดตามแฟรนไชส์นี้มาตลอดและกลุ่มคนดูที่เป็นผู้ใหญ่หน่อยเพราะหนังมีฉากล่อแหลมเยอะมาก ส่วนการตัดฉากพระมหาไพรวัลย์ออกก็ดูจะเหมาะแล้วกับการฉายโรงในช่วงนี้ซึ่งผมไม่ได้หมายถึงช่วงปลายปีนะครับ หมายถึงช่วงที่รัฐบาลนี้ปกครองนั่นแหละ เพราะต่อให้หนังเรื่องอื่นจะมีพระตบหัว พระเล่นหวย หรือพระนั่งขี้ยังไง การให้พระที่ดูจะเป็นปฏิปักษ์กับรัฐบาลมาปรากฎตัวก็ดูไม่เหมาะกับหนังนักเพราะเอาจริง ๆ การที่หนังเลือกให้มีซีนฉีดวัคซีนตอนท้ายก็เป็นการบอกกลาย ๆ ว่าซีนด่าบิ๊กตู่น่ะมันก็แค่ “อำกันขำ ๆ เล่น ๆ” เหมือนการบริหารงานของรัฐบาลนั่นแหละครับ