Victory (เตะแหลกแล้วแหกค่าย) ตำนานกีฬาและเสรีภาพ
การเสียชีวิตของราชาลูกหนังอย่าง เปเล่ เจ้าของตำนานกองหน้าที่เก่งที่สุดในโลก และ สถิติยิงประตูทีมชาติและสโมสรมากที่สุด (แต่ปัจจุบันโดนล้มไปหมดแล้ว) และ มหาอมตะนิรันด์กาลของวงการฟุตบอล ถ้ามวยปล้ำมี Hulk Hogan แกก็เป็นตำนานที่ถ้าพูดถึงฟุตบอลก็ต้องนึกถึงวลีว่า เปเล่ กับ มาราโดน่าใครเก่งกว่าเสมอ (ไม่ต่างกับโด้และเมสซี่นั้นแหละ)
การจากไปของแกสร้างความเศร้าโศกส่งท้ายปีให้กับคนวงการลูกหนังอย่างมากด้วยอัธยาศัยดี อารมณ์ขันชั้นเยี่ยม แถมยังมีความสามารถแทงสวนเวลาบอกใครเป็นแชมป์ได้อีก ประมาณว่า ลุงบอกใครได้แทงสวนได้เลยว่า ชิบหายแน่นอน (ถามลิ้วพูลได้) บวกกับช่วงรุ่งเรืองแกไปค้าแข้่งในอเมริกามาก่อน แน่นอนว่า ความดังของแกทำให้ได้เล่นหนังหนึีงเรื่องที่เป็นตำนานของวงการภาพยนตร์อีกเรื่องนั้นก็คือ Victory หรือชื่อไทยว่า เตะแหลกแล้วแหกค่ายนั้นเอง
หนังเรื่องนี้ดัดแปลงมาจากภาพยนตร์เรื่อง Két félidő a pokolban ซึ่งดัดแปลงมาจากเรื่องจริงที่เกิดกับทีม ดินาโม เคียฟ ในช่่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อนาซีเยอรมันยึดครองยูเครนในตอนนั้นแล้วสั่งให้ทีมดินาโม เคียฟยอมแพ้แก่เยอรมันในตอนนั้น แต่นักฟุตบอลของทีมไม่ยอมแพ้และสู้จนชนะถึงสองนัดติดด้วยสกอร์ 5-3 และ 8-0 ส่งผลให้พวกเขาถูกสังหารด้วยการส่งไปค่ายกักกันในเวลาต่อมาครับ (เข้าใจยังว่า ทำไมคนยูเครนถึงมีเลือดนักสู้กับรัสเซียได้ขนาดนั้นน่ะ)
เปเล่รับบทร่วมกับเฮียสไล ซิสเวสเตอร์ สตอลโลน และ นักฟุตบอลดัง ๆ อย่าง บ๊อบบี มัวร์ กัปตันทีมชาติอังกฤษ,ออสวัลโด อาร์ดิเลส นักฟุตบอลทีมชาติอาร์เจนตินา รวมทั้งนักฟุตบอลจากทีมอิปสวิช ทาวน์ ที่ช่วงนั้นเป็นรองแชมป์ดิวิชั่นหนึ่งเลยนะ ภายใต้การกำกับของผู้กำกับ จอห์น ฮุสตัน ผู้กำกับมากฝีมือในตอนนั้นครับ รวมทั้งป๋าไมเคิ่ล เคนที่มาเล่นหนังเรื่องนี้เพราะอยากเล่นหนังกับเปเล่ !!
.
นอกจากแสดงแล้ว ป๋าเปเล่ยังได้รับหน้าที่ออกแบบฉากแข่งขันในหนังด้วยนะ (ไม่ต่างกับผู้กำกับคิวบู้ในหนังแอ็คชั่นหรอก) ที่สำคัญแกเป็นตัวละครผิวสีคนเดียวในทีมนี้ด้วย ซึ่งแสดงให้เห็นภาพการเรียกร้องสิทธิของคนผิวสี ณ ช่วงเวลาที่ฟุตบอลยังเป็นโลกของคนขาว แต่ มีเปเล่นี่ละที่โชว์ให้เห็นว่า คนผิวสีเองก็ทัดเทียมและอาจจะเก่งกว่าคนขาวได้อย่างเช่นที่เขาเป็นนั้นแหละ
แน่นอนว่า หนังจบลงด้วยความสวยงามและไม่ได้เจ็บปวดแบบเรื่องจริง แต่สิ่งที่หนังต้องการย้ำคือ กีฬาคือ กีฬานั้นแหละ เมื่อลงในสนามแล้ว จะผิวไหน ชาติไหนสีไหนก็เท่าเทียมกันหมด
ต่อให้เป็นนาซีชั่วร้ายก็พ่ายแพ้ได้อยู่ดี
และนี่คือ หนังที่ช่วยบ่งบอกถึงความยิ่งใหญ่และยอดเยี่ยมของสิ่งที่เรียกว่า กีฬาและฟุตบอลได้อย่างน่าภูมิใจมาก ๆ เฉกเช่นลูกยิงจักรยานอากาศของเปเล่ และ ตอนจบอันสวยงามนี้ที่ตอกย้ำว่า สงครามน่ะมันเหี้ย อย่าให้มันเกิดขึ้นอีก
ขอสดุดีราชาแห่งลูกหนังและวิญญาณของนักฟุตบอลทั้งมวลที่ไม่ยอมแพ้และจำนนต่อความชั่วร้ายทั้งมวล ณ ที่นี้ครับ
ทีเด็ดคลิป หาดูยากมาก!!ฉากการแข่งฟุตบอลในภาพยนต์ในตำนาน1981เรื่อง"เตะแหลกแล้วแหกค่าย"..