• ชื่อไทย : เดอะ ลอร์ด ออฟ เดอะ ริงส์ ศึกแห่งโรฮิริม
• ปีที่เปิดตัว : 2567
• เข้าฉายในไทย : 5 ธันวาคม 2567
• นำแสดง : Brian Cox, Luke Pasqualino, Gaia Wise
• กำกับโดย : Kenji Kamiyama
• เขียนโดย : Jeffrey Addiss, Will Matthews, Phoebe Gittins, Arty Papageorgiou, Philippa Boyens, J.R.R. Tolkien
• ประเภท : Animation / Action / Adventure / Drama / Fantasy
• ความยาว : 130 นาที
• สร้างโดย : USA / Japan / UK
• จำหน่ายโดย : Warner Bros. Thailand
เรื่องย่อ The Lord of the Rings: The War of the Rohirrim ศึกแห่งโรฮิริม เรื่องราวชะตากรรมของ เฮาส์ ออฟ เฮล์ม แฮมเมอร์แฮนด์ (ไบรอัน ค็อกซ์) กษัตริย์ในตำนานของ โรฮัน การโจมตีอย่างกะทันหันของ วูลฟ์ (ลุค ปาสควาลิโน) ลอร์ด ดันเลนดิง ที่ฉลาดและโหดเหี้ยมที่ต้องการล้างแค้นให้กับการตายของพ่อของเขา บังคับให้ เฮล์ม และผู้คนของเขาต้องยืนหยัดอย่างกล้าหาญเป็นครั้งสุดท้ายในฐานที่มั่นโบราณของ ฮอร์นเบิร์ก ซึ่งเป็นป้อมปราการอันยิ่งใหญ่ที่จะเป็นที่รู้จักในภายหลัง เหมือนที่เฮล์มสดีป เมื่อพบว่าตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวังมากขึ้นเรื่อยๆ เฮรา (ไกอา ไวส์) ลูกสาวของ เฮล์ม จึงต้องรวบรวมความตั้งใจที่จะเป็นผู้นำในการต่อต้านศัตรูที่อันตรายถึงชีวิตซึ่งมีเจตนาทำลายล้างพวกเขาให้สิ้นซาก
โดยเรื่องราวนั้นจะเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น 183 ปีก่อนเหตุการณ์ที่บันทึกไว้ในภาพยนตร์ไตรภาคต้นฉบับ “The Lord of the Rings: The War of the Rohirrim” เล่าถึงชะตากรรมของ House of Helm Hammerhand กษัตริย์ในตำนานของ Rohan การโจมตีอย่างกะทันหันของ Wulf ลอร์ด Dunlending ที่ฉลาดและโหดเหี้ยมที่ต้องการล้างแค้นให้กับการตายของพ่อของเขา บังคับให้ Helm และผู้คนของเขาต้องยืนหยัดอย่างกล้าหาญเป็นครั้งสุดท้ายในฐานที่มั่นโบราณของ Hornburg ซึ่งเป็นป้อมปราการอันยิ่งใหญ่ที่จะเป็นที่รู้จักในภายหลัง เหมือนที่ Helm's Deep เมื่อพบว่าตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวังมากขึ้นเรื่อยๆ Héra ลูกสาวของ Helm จึงต้องรวบรวมความตั้งใจที่จะเป็นผู้นำในการต่อต้านศัตรูที่อันตรายถึงชีวิตซึ่งมีเจตนาทำลายล้างพวกเขาให้สิ้นซาก
แอนิเมชั่นภาคนี้อำนวยการสร้างโดย ฟิลิปปา โบเยนส์ เจ้าของรางวัลออสการ์ จากทีมเขียนบทที่อยู่เบื้องหลังภาพยนตร์ไตรภาคเรื่อง “The Lord of the Rings” และ “The Hobbit” ร่วมกับเจสัน เดอมาร์โก และ โจเซฟ ชู นอกเหนือจากพวกเขา โปรเจ็กต์แอนิเมชันหลายโปรเจ็กต์ที่ทำงานร่วมกันในซีรีส์ “Blade Runner: Black Lotus” ผู้อำนวยการสร้างบริหาร ได้แก่ ฟราน วอลช์, ปีเตอร์ แจ็คสัน, แซม รีจิสเตอร์, แคโรลิน แบล็ควูด และโทบี้ เอ็มเมอริช บทภาพยนตร์โดย เจฟฟรี แอนดีซ และ วิล แมทธิวส์ และ ฟีบี้ กิตตินส์ และ Arty Papageorgiou เรื่องราวโดย แอนดีซ และ แมทธิวส์ และ โบเยนส์ โดยอิงจากตัวละครที่สร้างโดย เจ.อา.อา.โทลคีน ทีมผู้สร้างสรรค์ผลงานที่กลับมาจากภาพยนตร์ไตรภาค “The Lord of the Rings” ยังรวมถึงเจ้าของรางวัลออสการ์ อลัน ลี และ ริชาร์ด เทย์เลอร์ พร้อมด้วยจอห์น ฮาว นักวาดภาพประกอบชื่อดังของโทลคีน
The Lord of the Rings: The War of the Rohirrim - เดอะ ลอร์ด ออฟ เดอะ ริงส์ ศึกแห่งโรฮิริม 12 ธันวาคมนี้ ในโรงภาพยนตร์
และนี่ก็คือการคัมแบ็กกลับมาโลดแล่นบนจอใหญ่อีกครั้งในรอบ 10 ปีพอดีของจักรวาลหนังแฟนตาซี อย่าง มิดเดิ้ลเอิร์ธ ที่คัมแบ็กหนนี้อาจจะแปลกตาไปสักหน่อย เพราะกลายมาเป็นฉบับหนังแอนิเมชันใน “The Lord of the Rings: The War of the Rohirrim ศึกแห่งโรฮิริม” ซึ่งเป็นการตีแผ่อีกหนึ่งเรื่องราวตำนานที่ถูกเล่าขานกัน กับเกมพยายามชิงแค้นและศึกสงครามที่เกิดขึ้นบริเวณเฮล์มส์ ดีพ
เรื่องราวชะตากรรมของราชวงศ์แฮมเมอร์แลนด์ กษัตริย์ในตำนานของโรฮัน การโจมตีอย่างกะทันหันของวูลฟ์ ลอร์ดแห่งดังเลนดิง ที่ฉลาดและเหี้ยมโหดที่ต้องการล้างแค้นให้กับการตายของพ่อของเขา บังคับให้เฮล์มและผู้คนของเขาต้องยืนหยัดอย่างกล้าหาญเป็นครั้งสุดท้ายในฐานที่มั่น ณ ป้อมปราการฮอร์นเบิร์ก เมื่อเฮล์มพบว่าตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวังมากขึ้นเรื่อย ๆ เฮรา บุตรสาวของเขา จึงต้องรวบรวมความตั้งใจที่จะเป็นผู้นำในการต่อต้านศัตรูที่อันตรายถึงชีวิตซึ่งมีเจตนาทำลายล้างพวกเขาให้สิ้นซาก
ที่น่าสนใจมาก ๆ ก็คือหนังเรื่องนี้ได้คว้าตัวผู้กำกับชาวญี่ปุ่นแท้ “เคนจิ คามิยามะ” มานั่งเก้าอี้ดูแลงานสร้างให้หนังฮอลลีวูดฟอร์มใหญ่แบบเต็มตัว เขาคนนี้ก็มีประสบการณ์ในงานอนิเมะมากว่า 30 ปีได้ เมื่อมาจับงานสร้างใหญ่ระดับโลกเช่นนี้ ก็ต้องยอมรับในฝีมือของเขาทีเดียว ที่สามารถงัดประสบการณ์มาใช้ในการรังสรรค์ผลงานชิ้นนี้ออกมาได้ค่อนข้างเกรียงไกรไม่น้อย กลายเป็นการต่อเติมขยายโลกของจักรวาลแห่งนี้ได้เพิ่มพูนยิ่งขึ้น
ในงานมุมมองงานสร้างใน The War of the Rohirrim ต้องยกนิ้วให้กับวิสัยทัศน์ของผู้กำกับจริง ๆ ตั้งแต่การเลือกทิศทางการใช้เทคนิคอนิเมะแบบสองมิติ ลายเส้นคล้าย ๆ กับฝั่งญี่ปุ่น มาเป็นสื่อตัวแทนในการร้อยเรียงหนังเรื่องนี้ นับว่าเป็นสไตล์ดั้งเดิมที่ท้าทายไม่น้อย ท่ามกลางการแข่งขันของหนังการ์ตูนสามมิติเยอะแยะเกลื่อนตลาด แต่ผลลัพธ์ที่ออกมาก็ทำให้การ์ตูนลายเส้นแบบการ์ตูนตาหวานเรื่องนี้ก็ออกมาได้แข็งแรงกว่าที่คิดไม่น้อย
ลายเส้นและงานโปรดักชันค่อนข้างใส่ใจในรายละเอียดด้วยดี แน่นอนว่านี่คือหนังที่เป็นการจับมือสร้างกันระหว่างโปรดักชันฝั่งญี่ปุ่นกับอเมริกา ก็ทำให้ตัวหนังมีกลิ่นอายความผสมผสานระหว่าง 2 ขั้ววัฒนธรรมค่อนข้างชัด เป็นหนังที่สปีกอิงลิชเล่าเรื่องไปบนรายละเอียดแบบสไตล์การ์ตูนญี่ปุ่นที่คุ้นเคย ก็นับว่าเป็นการผสมผสานเข้ากันได้อย่างลงตัวดี ร่วมด้วยองค์ประกอบเสริมต่าง ๆ ที่น่าพอใจ ทั้งการใส่ซาวน์ที่หนักแน่น เพลงประกอบของ “สตีเฟน แกลลาเกอร์” ก็เหมาะเจาะลงตัวดี
The War of the Rohirrim ถือว่าได้ดึงตัว “ฟิลิปปา โบเยนส์” มือเขียนบทจากต้นฉบับ The Lord of the Rings ไตรภาคหลัก มาช่วยตบ ๆ เกลา ๆ ในการเซ็ตสตอรี่ให้กับหนังเรื่องนี้ พร้อมกับใช้บริการทีมนักเขียนบทถึง 4 คน ที่ผ่านประสบการณ์จากงานหนังและงานการ์ตูน มาช่วยปลุกปั้นเรื่องราวให้ แต่ทว่ากลายเป็นจุดที่ค่อนข้างอ่อนด้อยไปอย่างน่าเสียดาย เพราะพลังการเล่าเรื่องของหนังเรื่องนี้ยังค่อนข้างทำไปได้ไม่ถึงจุดเรียกได้ว่าทรงพลังได้เท่าที่ควรนั้น
ถึงแม้ว่า The War of the Rohirrim จะเปิดฉากมาด้วยความเข้มข้นและเกมแย่งชิงบัลลังก์ที่ชวนติดตามต่อ แต่ลำดับการเล่าเรื่องของหนังยังค่อนข้างความตราตรึงใจในแบบที่ฉบับไลฟ์แอคชันเคยทำเอาไว้ได้หนักแน่นยิ่งกว่า เชื่อว่าผู้ชมก็น่าจะคาดหวังได้เห็นความยิ่งใหญ่อลังการจากคอนเทนท์ใหม่ ๆ ของแฟรนไชส์นี้ แต่อาจจะผิดหวังหน่อย ๆ เพราะว่าหนังเรื่องนี้ยังไม่ค่อยตอบโจทย์ในแง่นี้ได้มากสักเท่าไหร่ ถึงจะมีเสิร์ฟอยู่บ้าง แต่กลับไม่ได้ให้ความรู้สึกที่เอพิคเท่าที่ควร
อาจจะเป็นเพราะว่าตัวหนังยังต้องรักษาระดับความเป็นหนังการ์ตูน เพื่อหว่านล้อมจับกลุ่มคนดูได้มากที่สุด ทำให้หนังยังคงเรทไว้ที่ PG-13 เป็นปัจจัยที่จะมันส์จะรุนแรงก็ยังทำได้ไม่สุด ฉากสงครามประลองการต่อสู้ต่าง ๆ แม้ว่าจะพยายามเค้นให้เกิดความอิมแพคแล้ว ก็ยังไม่ค่อยสัมผัสถึงพลังความยิ่งใหญ่อย่างที่ควรจะได้รับการตอบสนองเท่าที่ควร นับว่าเป็นบาดแผลใหญ่ที่ค่อนข้างน่าผิดหวังไปสักหน่อยของหนังเรื่องนี้
แต่ทั้งนี้องค์ประกอบอื่น ๆ โดยรวมของหนังก็จัดได้ว่าทำออกมาได้ดีใช้ได้ รวมทั้งเหล่าทีมนักพากย์ให้เสียงเป็นตัวละครต่าง ๆ นำโดย “ไบรอัน ค็อกซ์”, “ไกอา ไวซื”, “ลุค ปาสควอลิโน” และ “มิแรนดา ออตโต” ที่จังหวะการลงเสียงและพากย์เสียงของพวกเขาค่อนข้างเหมาะเจาะกับคาแรกเตอร์ดี มีสำเนียงความเป็นผู้ดีติดออกมาหน่อย ๆ กลายเป็นอีกหนึ่งเสน่ห์ของหนังเรื่องนี้ ที่ยังรักษามาตรฐานความเป็นมิดเดิ้ลเอิรํธเอาไว้ได้
ดังนั้นโดยสรุปแล้ว The War of the Rohirrim ศึกแห่งโรฮิริม อาจจะยังไม่ใช่หนังที่สมบูรณ์แบบมากนัก แต่อย่างน้อย ๆ ก็มาช่วยต่อขยายความเป็น The Lord of the Rings ได้ในอีกเส้นเรื่องที่ถูกกล่าวขานเป็นตำนาน หนังมีงานสร้างที่ค่อนข้างดีใช้ได้อยู่ แม้ว่าจังหวะการเล่าเรื่องจะยังเปราะบางไปหน่อย แต่ก็ทดแทนด้วยความตระการตาในโปรดักชันดีไซน์ที่ทำได้ลงตัวดี เป็นอีกหนึ่งหนังจากจักรวาลนี้ที่ดูได้เพลิน ๆ อาจจะยังไม่ถึงขั้นจับใจที่สุด แต่ก็ยังเต็มไปด้วยอีสเตอร์เอ้กที่แฟนพันธุ์เรื่องนี้น่าจะได้เอ็นจอยกับมันได้ดี