เหตุผลที่ทำให้ผมรู้สึกดี ๆ หนังกลางแปลงในสมัยก่อนก็เพราะว่า ชีวิตในวัยเด็กของผมผูกพันกับหนังกลางแปลงมาจนแทบแยกกันไม่ออก บ้านเกิดผม เป็นที่ขึ้นชื่อลือชาในเรื่องหนังกลางแปลงอย่างมาก เรียกว่า สมัยนั้นมีหนังกลางแปลงฉายให้ดูกันยันโต้รุ่งแทบทุกคืนและผมก็ชอบที่จะดูหนังกลางแปลงมากกว่ามหรสพอย่างอื่น
ความที่ชอบดูหนังกลางแปลง ก็เลยทำให้ผมอยากจะฉาย อยากจะพากย์หนังกับเขาบ้าง แต่ตอนเด็ก ๆ ก็ทำได้แค่หาเก็บเศษฟิล์มหนังที่เขาตัดทิ้ง เอามาฉายเป็นหนังนิ่ง แล้วก็พากย์กันเล่น ๆ ในหมู่เพื่อนฝูงเท่านั้นจนเมื่อเรียนชั้น ม.ศ. 3 เพื่อนซึ่งมีพ่อเป็นเจ้าของหนังกลางแปลงชื่อ สมยศภาพยนตร์ จังหวัดสุรินทร์ ก็มาชักชวนให้ผมไปลองของฉายหนังของจริงบ้าง คราวนี้ พอถึงวันหยุดหรือช่วงปิดเทอม ผมก็จะติดรถไปฉายหนังกลางแปลงกับพวกเขาเสมอ แรก ๆ ก็ทำมันทุกอย่างเพื่อที่จะได้เรียนรู้งาน เริ่มตั้งแต่การต่อโครงเหล็กจอหนัง ขึงจอหนัง ตั้งจอหนัง ตั้งตู้ลำโพง วัดระยะการตั้งเครื่องฉายหนัง เดินสายเครื่องไฟ สายเครื่องเสียง ติดตั้งเครื่องฉาย เครื่องเสียง ควบคุมการเปิด-ปิดเครื่องขยายเสียง(หลอด) แล้วก็หัดเป็นโฆษกประกาศเรียกคน จัดเพลง หัดฉายหนัง หัดซ่อมแซมฟิล์มหนังและสุดท้ายก็ได้ลองหัดพากย์หนังกับเขาบ้าง
ผมสนุกอยู่กับหนังกลางแปลงจนเรียนจบชั้น ม.ศ.5 ก็เข้ามาเรียนต่อที่กรุงเทพฯ อีก 3 ปี แต่พอกลับไปเมื่อปี 2528 ปรากฏว่า เพื่อนผมเขายุบหน่วยฉายหนังไปเปิดเป็น ดิสโก้เธคเคลื่อนที่ แล้วเพราะเขาบอกว่า คนไม่นิยมหนังกลางแปลงเหมือนเก่า..ตอนนั้น ผมเองก็รู้สึกเช่นนั้นเพราะมหรสพหรือการเข้าถึง "การดูหนัง" เริ่มเปลี่ยนวิธี..แล้วก็เปลี่ยนๆๆๆ มาจนถึงทุกวันนี้
เสน่ห์ของหนังกลางแปลงนั้น ขึ้นอยู่กับว่า เราเกิดทันได้ดูในยุคไหน..อย่างผมนั้น เกิดทันยุคฉายหนัง 16 มม.จอผ้า พากย์สดๆ ฉายเครื่องหลอด มีลำโพงฮอนผูกข้างเสาจอข้างละตัว..แล้วก็พัฒนาขึ้นมาเป็นจอ 3 เสา มีตู้ลำโพงกว้างประมาณครึ่งเมตร สูงท่วมหัวคน ตั้งอยู่ข้างจอ แล้วก็เริ่มเพิ่มตู้ลำโพงมากขึ้นเรื่อย เริ่มขยายความกว้างของตู้ลำโพงมากขึ้น มีทั้งตู้ตั้ง ตู้นอน เริ่มเพิ่มกำลังของเครื่องขยายให้มากขึ้นเป็นพันวัตต์ ซึ่งถือว่าสมัยนั้นดังมากๆ แต่พอมาเจอเขาฉายหนังสนามหลวงงานวันพ่อ เขาแห่นำเครื่องเสียงมาถล่มใส่กัน...ตอนนั้น ชักไม่สนุกแล้วครับ หนวกหู จนคนดูเบือนหน้าหนี..เพราะทนเสียงเบสไม่ได้..ตอนนั้น ผมคิดว่า พวกเขากำลังแข่งกันไปตาย..เสียงดังจะมีประโยชน์อะไร ถ้าไม่มีคนมานั่งดูหนังจากจอเรา.. สมัยก่อน ก่อนฉายนั้น ผมกับเพื่อนจะต้องคัดเพลงจากเทปคาสเซท คัดแต่เพลงดังๆ เพลงฮิตๆ ที่คิดว่า เปิดแล้ว เอาคนดูอยู่แน่ๆ..แล้วก็ได้ผลจริงๆ จนบางครั้งเราก็ต้องประกาศแนะนำเพลงด้วย ทำเหมือนเป็นโฆษกวิทยุนั่นแหละ น่าสนุกครับ หนุ่มๆสาวๆ ก็มานั่งจีบกัน มานั่งฟังเพลงที่เปิดดังพอสมควร ไม่กระแทกจนเขาเดินหนี..เรียกว่า ฟังเพลงเบาๆ เคล้ากับบรรยากาศ เดินหาซื้อของกิน เดินจีบสาว..รอเวลาเขาฉายหนัง..
สมัยที่ผมฉายหนังกลางแปลงนั้น มีวิธีเรียกคนมาดูหนังที่ใช้บ่อยๆ ก็คือ การฉายฉากเพลงหรือฉากบู๊ๆ เวลาตั้งแสง...จะเีรียกคนได้มากกว่า ตั้งแสงด้วยจอขาวๆ.. สุดท้าย เสน่ห์ของหนังกลางแปลงอีกอย่างหนึ่งที่ดึงคนดูได้ดีก็คือ การมีนักพากย์เก่งๆ ดังๆ มาประจำหน่วย (หมายถึงก่อนที่จะมีหนังต่างประเทศเสียงไทยในฟิล์มนะครับ)..นักพากย์เหล่านี้เอง จะเป็นตัวชูโรงให้หนังกลางแปลงเรา.. รุ่นผมเมื่อปี 2523 บริการนันทวันภาพยนตร์ สุรินทร์ เขามีนักพากย์ที่ชื่อ ลมโชย มาประจำหน่วย.. ผมติดนักพากย์คนนี้มา เขาพากย์ตลก มีมุขเยอะ พากย์คนเดียวกัน..เรียกว่า สมัยนั้นแอบจำลีลา น้ำเสียง ไปพูดเล่นๆ ให้เพื่อนๆ ในห้องฟังเป็นประจำ...เพื่อนๆ นักเรียนมันก็จะรู้ว่า เมื่อคืนไปดูหนังมา.. เล้งฟิล์มเสนอ นันทวันภาพยตร์ ผลงานของบริษัท...แล้วก็บอกชื่อหนัง....ลงท้ายด้วย นันทวัน พากย์.... ความประทับใจจากการได้ดูหนังกลางแปลงบ่อยๆ จึงเกิดทำให้เรา หลงเสน่ห์หนังกลางแปลง...ยังมีเรื่องอีกมาแต่ว่า วันนี้ แค่นี้ก่อนนะครับ