ผู้เขียน หัวข้อ: บทที่ 504 ชุมทางหนังไทยในอดีต เสนอ วันนั้น... กับวันนี้ที่เสียดาย  (อ่าน 546 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ นายเค

  • Thaicine Movie Team
  • Moderator
  • พี่น้อง thaicine Gold member
  • ***
  • กระทู้: 3814
  • พลังใจที่มี 616
  • เพศ: ชาย

บทที่ 504
ชุมทางหนังไทยในอดีต เสนอ
วันนั้น... กับวันนี้ที่เสียดาย
โดย มนัส กิ่งจันทร์

(facebook 27 มีนาคม 2557)


งานรำลึก 37 ปีมิตร ชัยบัญชา กับคุณแอ๊ด Add Peoplecine ที่จังหวัดอุดรธานี..


               สวัสดีครับทุกท่าน.. วันนี้ กระทู้บทนี้ จะไม่มีหนังมาฉายประกอบนะครับ แต่จะมีภาพที่เคยติดตาติดใจผมมา กว่า 7 ปีแล้วมาให้ชมกันนะครับ.. วันนั้นคือ เมื่อช่วงวันเด็กแห่งชาติของเดือนมกราคม ปี 2551 คุณเอ็ม อิงคศักย์ เกตุหอม พาพวกเราไปร่วมจัดงานรำลึก 37 ปีมิตร ชัยบัญชา กับคุณแอ๊ด Add Peoplecine ที่จังหวัดอุดรธานี.. เมื่องานเสร็จสิ้น คุณแอ๊ดก็พาคณะของพวกเราไปเที่ยวสถานที่สำคัญต่าง ๆ กระทั่งจะได้เวลากลับไปขึ้นเครื่องบินกลับกรุงเทพฯ ผมก็เผอิญเอ่ยปากฝากให้คุณแอ๊ดช่วยสืบหาแหล่งเก็บฟิล์มหนังเก่าๆ ในอุดรธานีให้ด้วย.. ก็ได้เรื่องเลยครับ.. คุณแอ๊ดบอกว่า รู้จักกับลูกเจ้าของบริการหนังขายยาแห่งหนึ่งซึ่งเลิกกิจการฉายหนังนานแล้ว แต่ยังเก็บกากฟิล์มไว้ในโกดังเยอะมากๆ ...

               ได้ยินเพียงแค่นี้ ผมก็หูผึ่งแล้วครับ รบเร้าให้คุณแอ๊ดพาพวกเราไปดูสักหน่อย..คุณแอ๊ดก็ใจดี รีบจัดแจงขับรถพาพวกเราไปดูโกดังเก็บฟิล์มที่ว่านี้ทันที.. ทันทีที่เห็น ผมถึงกับอึ้ง ภาพที่เห็นๆ ในวันนั้น พวกเราไม่ได้ถ่ายรูปไว้เลยเพราะมัวแต่ตกตะลึงในความมากมายมหาศาลของกากฟิล์มหนังที่มีทั้งวางกองเรียงไว้บนชั้น วางระเกะระกะ ทั้งที่มีกระเป๋าใส่ฟิล์มและไม่มีกระเป๋าใส่ฟิล์ม ส่วนใหญ่จะเป็นฟิล์ม 16 มม. บางกระเป๋าก็อ่านชื่อหนังได้ บางกระเป๋าก็ไม่มีชื่อ.. น่าเสียดายที่วันนั้น ผมมีเวลาน้อยเพราะจะต้องรีบไปสนามบิน.. จนกระทั่งคุณเอ็มบอกว่า ถ้าไม่รีบกลับ จะตกเครื่องน่ะ ผมถึงจำใจจากโกดังเก็บฟิล์มแห่งนั้น.. ตอนนั้น ผมยังเคยเขียน “ชุมทางหนังไทยในอดีต” อยู่ที่เว็บไทยฟิล์มดอทคอม. คุณแอ๊ด คงเห็นผมสนใจกากฟิล์มมากๆ ก็เลยบอกว่า จะลองทาบทามลูกเจ้าของฟิล์มให้..จากนั้นพวกเราก็ไปสนามบินเพื่อกลับกรุงเทพฯ

               แล้ววันเวลาก็ผ่านไป..ผ่านไป.. กระทั่งเมื่อปีที่แล้ว ผมเริ่มเขียน “โครงการภาพยนตร์ไทยคงเหลือ” พร้อมกับฉายหนังไทยคงเหลือ คือ มีหนังเหลือเท่าไร ก็ทำออกมาฉายเท่านั้น เพื่อกระตุ้นให้คนไทยหันมาสนใจประวัติศาสตร์หนังไทยให้มากขึ้น หนังที่มีๆ กันอยู่แล้ว ก็มีไป แต่หนังที่ยังไม่มีออกมาแพร่หลาย เราก็ต้องออกตามหากากฟิล์มเตามต่างจังหวัด.. พวกเราไปมาหลายแห่ง ช่วยหนังไทยมาได้หลายเรื่อง ก็นึกถึงคุณแอ๊ดว่า ฟิล์มที่โกดังแห่งนั้นจะ ยังอยู่หรือเปล่า จึงโทรศัพท์ไปหาคุณแอ๊ดเพื่อถามข่าว แต่สิ่งที่ทราบก็คือ คุณแอ๊ดบอกว่า โกดังแห่งนั้นถูกรื้อทิ้งและสร้างเป็นอย่างอื่นไปแล้ว ไม่ทราบว่า จะมีการเอาทิ้งหรือเอาไปไว้ที่แห่งไหน ไม่แน่ชัด.. ความฝันที่จะเห็นฟิล์มเป็นร้อยๆ ม้วน ก็เลยมลายหายไป

               แล้วที่ต้องมาพูดซ้ำอีกในวันนี้ ก็เผอิญว่า ผมเห็นรูปถ่ายที่คุณแอ๊ดเข้าไปถ่ายสิ่งของต่างๆ ในโกดังแห่งนั้นเมื่อราวๆ เดือนตุลาคม 2550 ยิ่งดูภาพ.. ผมก็ยิ่งเสียดายกากฟิล์มเหล่านั้น..วันนั้น เท่าที่ดูด้วยตาเปล่า กากฟิล์มยังพอฉายได้ เพียงแค่เช็คทำความสะอาดฝุ่นเท่านั้นเพราะโกดังมีสภาพโปร่ง ไม่อับทึบ.. ประเมินแล้ว เราอาจจะได้หนังไทยคงเหลือกลับมาอีกหลายสิบเรื่อง.. มากไม่มากก็ลองดูจากรูปถ่ายที่คุณแอ๊ดถ่ายไว้ซิครับ..

แล้วท่านคงจะรู้สึกเหมือนๆ กับผมคือ เสียดาย...ภาพเหล่านี้จะเป็นอนุสติเตือนใจเราให้ได้คิด ได้ตระหนักถึงการช่วยหนังไทยในโอกาสต่อไป

   
   
ภาพเหล่านี้จะเป็นอนุสติเตือนใจเราให้ได้คิด ได้ตระหนักถึงการช่วยหนังไทยในโอกาสต่อไป

               ต้องบอกไว้ก่อนนะครับว่า ภาพเหล่านี้คือภาพที่คุณแอ๊ดกับเพื่อนถ่ายไว้เมื่อต้นเดือนตุลาคม 2550 ก่อนที่ผมกับพวกจะเข้าไปดูของจริงๆ ในเดือนมกราคม 2551..ก็ราวๆ 7 ปีมาแล้วครับ..ตอนนั้น ผมมัวแต่ดูของจริงๆด้วยตา ไม่ได้ถ่ายรูปไว้ วันนี้ พอเห็นภาพต่างๆ ที่คุณแอ๊ดเคยนำมาโพสไว้ในเว็บเมื่อปี 2550 ก็ทำให้มองเห็นอะไรมากขึ้น..และรำลึกความหลัง..ที่หมดหวังกับกากฟิล์มเหล่านี้แล้ว..

               ว่ากันว่า เจ้าของกากฟิล์มเหล่านี้เคยฉายหนังมาก่อน น่าจะเป็นหนังขายยาและหนังเร่..และเมื่อเลิกกิจการก็นำทุกสิ่งทุกอย่างในอดีตมาเก็บไว้ในโกดังแห่งนี้..วางเรียงๆ กันไว้ แรกๆ ก็ดูดีหรอกครับ แต่พอนานวันเป็นสิบๆ ปี ทุกอย่างก็เป็นอย่างที่เห็นๆ จากภาพนี้บอกได้ว่า



ที่กองๆ อยู่แถวบนก็คือ เครื่องฉายหนัง 16 มม.จะเห็นว่ามีหลายตัวนะครับ ส่วนแถวล่าง จะเป็นเป็นกระเป๋าใส่ฟิล์มหนังซึ่งดูจากสีกระเป๋าแล้ว สันนิษฐานว่า สีน้ำเงินแก่ๆนั้นเป็นหนัง 16 มม. ส่วนที่เป็นสีน้ำตาล อาจเป็นหนัง 35 มม.นะครับ..

   
   
ในโกดังยังมีกระเป๋าฟิล์มหนังกองสุมๆ กันไว้อีกเยอะครับ..

               ภาพนี้ กล้องซูมเข้าไปแถวล่างแบบใกล้ๆ เพื่อให้เห็นชื่อหนัง..เห็นด้านขวามือไหมครับ กระเป๋าริมสุดเขียนไว้ว่า พระรถเมรี นั้น ถ้าเป็นจริงตามชื่อข้างกระเป๋า ก็จะเป็นหนัง 16 มม.รุ่นไชยา-เพชรา ดูจากกระเป๋าแล้ว เข้าใจว่า มี 5 ม้วนจบ แล้วสังเกตเห็นว่า บนกระเป๋านี้ก็มีฟิล์ม 16 มม.วางไว้อีก 2 ม้วนครับ ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องอะไร..


ถัดมาทางซ้ายมือ อ่านที่กระเป๋าเขียนว่า รจนายอดรัก นำแสดงโดย ยอดชาย เมฆสุวรรณ ..ส่วนอีกเรื่อง อ่านได้แต่คำว่า น้ำ.. ไม่รู้น้ำอะไร

 
ในโกดังยังมีกระเป๋าฟิล์มหนังกองสุมๆ กันไว้อีกเยอะครับ.. ไฟล์ภาพที่คุณแอ๊ดโพสไว้เล็กมาก ก็เลยขยายมาอ่านชื่อหนังไม่ออกนะครับว่าเป็นเรื่องอะไร

               ภาพนี้ซูมเข้ามาใกล้ๆ ก็เลยเห็นชื่อหนังครับ ขวาสุดเป็นหนัง 16 มม.เรื่อง แม่ย่านาง มิตร-พิศมัย..ถัดมาน่าจะเป็นหนัง 35 มม.เรื่อง ทาสอารมณ์ เล็ก ไอยสูรย์ เป็นพระเอก อีกกระเป๋าหนึ่งอ่านไม่ได้ครับ..


               กระเป๋าฟิล์มหนังเหล่านี้จะอยู่บนชั้นเหล็กพิงผนังโกดังไว้นะครับ..จากภาพนี้ เห็นกระเป๋าหนังใบที่ 2 จากซ้ายมือไหมครับ ผมว่าเป็นเรื่อง เสาร์ 5 หนังบู๊ดังๆ ปี 2519 นะครับ..  แล้วยังมีกระเป๋าสีน้ำเิงินแก่ๆ อีกที่นอนอยู่ข้างล่างเปิดกระเป๋าไว้ จะเป็นหนัง 16 มม. มองเห็นอีก 2-3 กระเป๋าครับ น่าเสียดาย ไม่รู้ว่า หนังไทยเรื่องอะไรบ้าง บางกระเป๋า เผลอเปิดกระเป๋าไว้ ขี้ฝุ่นก็ลงไปเขรอะแบบนี้ครับ แต่ว่า เช็คทำความสะอาด ก็ฉายได้ครับ ดีกว่าบางกระเป๋า ถ้าปิดสนิทหมด ฟิล์มก็เหนียวติดกันครับ คุณแอ๊ด ถ่ายรูปไว้เยอะมากๆ

   
   
น่าเสียดายที่ตอนนั้น คุณแอ๊ดบอกว่า เจ้าของฟิล์มเขาหวงมาก ก็เลยไม่เคยให้ใครเลย แต่มาทราบภายหลังว่า พอเขาจะใช้ที่ทาง เขาก็เอาทิ้งหรือว่า เอาไปไว้ที่ไหน คุณแอ๊ดก็ยังไม่ทราบครับ..


   
คนนี้ น่าจะชื่อ แสบ ที่แต่งชุดเป็น อินทรีทอง ในงานมิตรปี 2550 นะครับ ถ่ายรูปกับกรุฟิล์มไว้ครับ..

               นอกจากกระเป๋าฟิล์มอย่างที่เห็นๆแล้ว ก็ยังมีกระเป๋าฟิล์มแบบกระเป๋าที่ชอบใส่หนังต่างประเทศ ที่เป็นฝาครอบอีกหลายเรื่องครับ เก็บไว้ในตู้แบบนี้ ไม่รู้ว่า เรื่องอะไรครับ แต่เห็นมีกระเป๋าสีน้ำเงินแก่ๆ ที่เป็นหนังไทยอยู่ปนด้วย.. แต่กระเป๋าที่ผมบอกว่า เป็นหนังต่างประเทศนั้น ก็ไม่แน่เสมอไปครับเพราะบางครั้ง เขาก็ใส่ฟิล์มหนังไทยด้วยครับ อย่างเรื่อง ชุมทางหาดใหญ่ มิตร-เพชรา ก็เคยใส่กระเป๋าแบบนี้ครับ

   
   
ยังมีกระเป๋าฟิล์มแบบกระเป๋าที่ชอบใส่หนังต่างประเทศ ที่เป็นฝาครอบอีกหลายเรื่องครับ

   
   
ฟิล์มมีทุกที่.. วางเต็มไปหมดครับ..


ลำโพงฮอนหนังกลางแปลงครับ


เตาอ๊าคที่นิยมใช้กับหัวเครื่องฉาย 16 มม. คือนำมาดัดแปลง เพิ่มกำลังไฟให้สว่างขึ้นเพื่อฉายจอใหญ่ขึ้นนะครับ..


ตัวนี้เป็นเครื่องเล่นแผ่นเสียง เอาไว้เปิดทำแบ็กกราวน์หนัง 16 มม.ครับ

            ถัดจากที่ที่เก็บฟิล์มแล้ว พอเปิดประตูเข้าไปอีกหนึ่ง ก็จะมีฟิล์มอีกมากครับ.. ในห้องนี้ ก็มีฟิล์มอีกครับ เรียกว่า สุมๆกันอยู่ รอใครมาหา...

 
 
   

            แล้วระยะเวลา ก็ทำให้กระเป๋าใส่ฟิล์มชื้นและเสียหาย เขาก็เลยต้องเอากระเป๋าฟิล์มทิ้งไป แต่เอาฟิล์มมาตั้งๆ ซ้อนๆ กองไว้แบบนี้ครับ..มีทั้งฟิล์ม 16 มม.และ 35 มม. ตอนนั้นผมดูแล้ว ก็เห็นว่า มีขี้ฝุ่นจับ แต่เช็คทำความสะอาดก็ฉายได้ครับ ฟิล์มยังไม่เหนียวติดกัน.. มีหลายกองครับ.กองนี้ 16 มม. ลองคิดเล่นว่า หนัง 16 มม.ตามปกติสมัยนั้น เรื่องหนึ่งมี 4 ม้วนจบ..แล้วที่เห็นๆ นี้จะมีกี่เรื่อง แล้วเป็นหนังเรื่องอะไรบ้าง น่าเสียดายครับ..

 

            อีกกองครับ นี่ก็ไม่รู้กี่เรื่อง เดาๆว่า ต้องเป็นหนังไทยเก่าๆ ทั้งนั้นครับ  ตอนผมเห็นครั้งแรก ก็อยากได้มาฉายทำภาพครับ แต่ก็ไม่มีปัญญาทำให้ได้ฟิล์มเหล่านี้มา..วันนี้ ก็ได้แต่นั่งเสียใจ จะทำเป็นลืมๆ กรุนี้ก็ไม่ได้ครับเพราะเสียดายจริงๆครับ..  สภาพนี้ เช็คทำความสะอาด ก็ฉายได้ครับ แต่ไม่มีวาสนาได้นำมาฉายครับ..

   
 
 

            ภาพสุดท้ายแล้วครับที่คุณแอ๊ดถ่ายไว้..เป็นสภาพในห้องนี้ที่เจ้าของเขาตั้งใจทำเป็นชั้นไว้ใส่ฟิล์ม แม้จะปิดประตูสังกะสีไว้ แต่ข้างบนก็ยังโปร่ง อากาศถ่ายเทได้สะดวก เมื่อปี 2551 ที่ผมไปเห็นกรุนี้ ฟิล์มจึงยังฉายได้ครับ แต่..พอมาถึงวันนี้แล้ว ก็ได้แต่เสียดายที่เราไม่มีโอกาสได้รู้เลยว่า ในกรุนี้จะมีหนังไทยเก่าๆ เรื่องอะไรบ้าง..และถ้าเขาเอาทิ้งไปทั้งหมดจริง ก็ยิ่งน่าเสียดายอีกครับเพราะประวัติศาสตร์หนังไทยก็ต้องสูญพันธุ์อีกไม่รู้กี่สิบเรื่อง อย่าลืมว่า หนังไทย 16 มม.ยุคนั้น หลงมาที่ภาคอีสานเพียงเรื่องละ 1 ชุดเท่านั้น เท่าที่เห็นกรุนี้น่าจะเก็บไว้เยอะที่สุด เขาเก็บไว้ด้วยความรัก ความหวง จนตกมาถึงรุ่นลูกหลาน เขาก็ยังเก็บไว้อนุสรณ์ของบ้่านอีก..

   
   
   

เราเพียงแต่ขาดคนกลางที่จะไปเจรจาในการนำฟิล์มเหล่านี้มาทำภาพไว้ก่อนเท่านั้นเอง..วันนี้ ก็เลยได้แต่นั่งเศร้าๆ ที่เราช่วยหนังไทยกลุ่มนี้ไ่ม่ได้ครับ..

            วันนี้.. ที่ผมต้องนำภาพเหตุการณ์เก่าๆ เมื่อประมาณ 7 ปีที่แล้วมาพูดถึงอีกก็เพื่อจะเป็นอนุสติเตือนใจตัวเองครับ.. 7 ปีที่แล้ว แม้ผมจะสะสมวีดีโอหนังไทยเก่าๆ แต่เรื่องการออกตามหากากฟิล์มนั้น ก็ยังไม่ได้เน้นจริงจังเหมือนอย่างทุกวันนี้.. สมัยนั้นผมเขียนและโพสเพียงภาพนิ่งอยู่ที่เว็บไทยฟิล์มของมูลนิธิหนังไทย..แม้จะมีเพื่อนๆ ให้ความสนใจมากอย่างไรก็ตาม แต่ผมก็ได้แต่เขียนเล่าเรื่องเท่านั้น กระทั่งเมื่อเริ่มมี facebook ที่สามารถโพสหนังเป็นคลิปสั้นๆ ได้ ผมถึงเปลี่ยนแนวการเล่าเรื่อง เป็นว่ามีหนังฉายประกอบด้วย.. ก็เลยได้เพื่อนๆ อีกกลุ่มหนึ่งที่ต้องการเข้าถึงเรื่องราวของหนังไทยเก่าๆ ที่ไม่ใช่มาจากม้วนวีดีโอหรือแผ่นวีซีดีเท่านั้น คำถามที่ว่า แล้วหนังเก่าๆ ที่เหลืออีกมากมาย มันหายไปไหน..

            นั่นแหละครับ แนวร่วมการตามหากากฟิล์มหนังจึงเริ่มจริงจังขึ้นมา.. ไม่ใช่ผมทำคนเดียวอย่างเก่า แต่เรามีเพื่อนๆ คอยสนับสนุนและร่วมเดินทางไปกับเรา..วันนี้ จึงพูดได้ว่า กากฟิล์มกรุนี้ พวกเราคิดช้าไปครับที่จะช่วยอย่างจริงจัง..ก็เลยต้องมานั่งเศร้า มองดูกองกากฟิล์มที่สูญพันธู์ไป..


7 ปีที่แล้ว พวกเรามีกิจกรรมที่ได้มาพบปะกันบ่อยๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะเกี่ยวพันกับเรื่องราวของ มิตร ชัยบัญชา..


7 ปีที่แล้ว ที่ผมได้มีโอกาสเห็นกากฟิล์มกรุนี้ก็เพราะคุณแอ๊ด เขาจัดงาน 37 ปีมิตร ชัยบัญชา ที่จังหวัดอุดรธานี..พี่เอ็มก็เลยพาพวกเราไปช่วยงานครับ..


รถหนังขายยาที่มาร่วมงานรำลึก 37 ปีมิตร ชัยบัญชา เมื่อปี 2551 ครับ..


คุณแอ๊ด ต้อนรับขับสู้อย่างเต็มที่ พวกเราก็เต็มใจไปช่วยงาน.. 7 ปีมาแล้วครับ..

            อย่างที่ผมบอกไว้ข้างต้นแล้วว่า วันนั้น เรามีเวลาน้อยจริงๆ ที่จะได้เห็นกากฟิล์มกรุนี้เต็มๆ ตา..เพราะใกล้จะถึงเวลาขึ้นเครื่องบินกลับกรุงเทพฯ แล้ว.. วันนั้น ผมก็ได้แต่ตั้งความหวังไว้ว่า ถ้าลูกหลานเจ้าของกากฟิล์มเขายอมปล่อยกากฟิล์มกรุนี้ เราก็จะได้หนังไทยเก่าๆ อีกมากทั้งหนัง 16 มม.และ 35 มม. ..แต่แล้วทุกอย่างที่หวัง ก็มืดมน..มืดไปกับรอคอยความหวังจากสิ่งที่มองไม่เห็น..ไม่น่าเชื่อว่า ต่อมากากฟิล์มกรุนี้จะกลายเป็นอากาศธาตุในเวลาต่อมา..

            ผมเองก็เหมือนมีบาปติดตัว ก็ต้องยอมรับว่า เพราะเราชะล่าใจเกินไป..เพราะคำพูดที่ยังก้องอยู่ในหูว่า เจ้าของฟิล์มเขาหวง เขายังไม่อยากปล่อยให้ใครๆ ก็เลยยังไม่มีใครเข้าไปติดต่อเพราะเชื่อว่า ถ้าลองกล้าเก็บไว้ได้ช้านานขนาดนี้ ก็ต้องรักและหวงมากๆ ไม่งั้นไม่เก็บไว้ได้นานขนาดนี้หรอกครับ. ช่วงเวลานั้น ผมก็เลยตระเวนหากากฟิล์มตามแหล่งอื่นๆ ไปเรื่อยๆ.. เรื่อยๆ จนเริ่มรู้สึกว่า กากฟิล์มที่ได้ๆ มานั้น มันยังไม่เก่า มันยังไม่ลึกจริง..

            ก็เลยนึกถึงกากฟิล์มกรุนี้ขึ้นมา ปีที่แล้ว ก็เลยลองโทรไปหาคุณแอ๊ดเพื่อจะถามข่าวคราวว่า เจ้าของเขาจะปล่อยกากฟิล์มแล้วหรือยัง.. ก็ได้คำตอบว่า โกดังนั้นถูกรื้อทิ้งไปหมดแล้ว ไม่รู้ว่า เขาทิ้งฟิล์มไป หรือว่าขนย้ายไปไว้ที่ไหน..แต่ถ้าดูๆจากรูปการณ์แล้ว เดาได้ 2 อย่างคือ ขายเหมาทิ้งหมดเพราะนอกจากฟิล์มแล้ว ยังมีอุปกรณ์เก่าๆ ของเครื่องฉายหนังอีกที่ขายได้.. หรือไม่ก็เอาทิ้งไปทั้งหมดเพราะสภาพที่เราเห็นๆ ในรูป ถ้าไม่ใช่คนที่รักที่ชอบของสิ่งนั้นจริงๆ เขาก็ทิ้งหมดแหละครับ..อย่าลืมกฏธรรมชาติที่ว่า สิ่งที่เหลือจากอดีต.. จากรุ่นต่อรุ่นนั้น บางครั้งก็อาจดูเป็นของมีค่า แต่บางครั้งของสิ่งเดียวกัน ก็อาจจะเป็นของไร้ค่าได้ ขึ้นอยู่กับว่า ใครจะเห็นคุณค่า..

   
   

            นี่แหละครับ ผมถึงเสียดายที่ผมชะล่าใจเกินไป จึงไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้พูดคุยกับทายาทเจ้าของกากฟิล์มเหล่านั้น..เสียดายจริงๆ ครับ...แหละนี่ก็คือ อนุสติไว้เตือนใจผมและเพื่อนๆ ที่กำลังร่วมอุดมการณ์เดียวกันในวันนี้.. ทุกวันนี้ ผมมีเพื่อนๆ ใน facebook คอยเป็นแรงใจ แรงทุนสนับสนุนเมื่อหนักจนเราเอ่ยปากขอ.. เราก็เลยเปลี่ยนวิธีการช่วยหนังแล้วครับ..ต่อไปนี้ ถ้าลองเราได้รู้ได้เห็นถึงขนาดนี้แล้ว ไม่ว่าจะได้ หรือไม่ได้กากฟิล์มกลับมา เราสัญญาว่า เราจะต้องลุยให้ถึงที่สุดจริงๆ และจะทำให้รวดเร็วกว่านี้อีก.. จะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจกับโอกาสที่จะช่วยสืบสานประวัติศาสตร์หนังไทยอีกครับ.. ขอบคุณครับ

            พูดถึง การตามหากรุฟิล์มแล้ว ไม่มีอะไรแน่นอน..อาจจะได้หรือไม่ได้ แต่ก็ต้องลงมือทำครับ..ดูเทปเก่าๆ ที่เคยไปหากรุฟิล์มนะครับ ตอนนั้นก็ไม่คิดว่า จะได้กากฟิล์มมามากมายอะไร แต่ก็ได้มาเกินคาดและเป็นหนังสำคัญมากๆ ....

คลิ๊กเพื่อชม...
วันที่ 21 กรกฎาคม 2556 เยี่ยมบ้าน อ.จรัส จันทร์พรหมรัตน์ นักสะสมเอกสารเก่าเมืองสงขลา ที่สุราษฎร์ธานี


<iframe width="560" height="315" src="//www.youtube.com/embed/GgPbiOQvbqE?fs=1&start=" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>
............

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22 พฤษภาคม 2014, 13:21:44 โดย นายเค »


สรพงษ์ ลิ้มทองคำ
5 หมู่ 7 ต.คลองตาคต อ.โพธาราม ราชบุรี 70120    E-Mail soraphol@hotmail.com
ธ.กรุงเทพ ออมทรัพย์ สาขา อาคารยาคูลท์ สนามเป้า   หมายเลขบัญชี  210-036236-3
ธ.ไทยพาณิชย์  ออมทรัพย์ สาขา บางเขน   หมายเลขบัญชี  041-273435-0
ติดต่อ 0909040355

ชมรมรักหนังกางแปลง โพธาราม ราชบุรี เรามาคุยกันได

ออฟไลน์ นายเค

  • Thaicine Movie Team
  • Moderator
  • พี่น้อง thaicine Gold member
  • ***
  • กระทู้: 3814
  • พลังใจที่มี 616
  • เพศ: ชาย
              วันนั้นคือ เมื่อ 7 ปีที่แล้ว นอกจากผมจะให้ความสนใจแล้ว คุณประวีณ เพื่อนคุณแอ๊ด ก็สนใจฟิล์มหนังเหมือนกันครับ (ดูภาพนี้) ฟิล์ม 16 มม.ม้วนนี้ เปิดออกมาจากกระเป๋าและพากันส่องดูครับ..ฟิล์มยังฉายได้ครับ ม้วนนี้เป็นหนังที่ สมบัติ เมทะนี เป็นพระเอกครับ..

   

              บางกระเป๋าที่เราเปิดดูกันนั้น ก็มีบทพากย์หนังด้วยครับ..  ส่วนภาพนี้ ผมให้น้องผู้หญิงที่ไปด้วย ช่วยถ่ายรูปให้เพราะเป็นกระเป๋าหนังมิตร ชัยบัญชา เรื่อง จำปาทอง ข้างกระเป๋าเขียนว่า B5 ซึ่งเข้าใจว่าเป็นฟิล์มก๊อบปี้ชุดที่ 5 ครับ..แต่ว่าวันนั้นคือ เมื่อ 7 ปีที่แ้ล้ว ในกระเป๋านี้เป็นกระเป๋าว่างเปล่า ไม่มีฟิล์ม ไม่มีบทพากย์ ตอนแรกผมเห็นเรื่อง จำปาทอง ก็ดีใจครับเพราะก่อนหน้านั้น คุณโต๊ะ พันธมิตร ก็ได้ฟิล์มเรื่องนี้มาจากอีกจังหวัดหนึ่งแล้ว แต่ไม่มีบทพากย์ ก็วานให้ผมตามหาบทพากย์ให้ด้วย พอเจอกระเป๋าจำปาทอง ผมก็เลยลองเปิดดู แต่ก็ไม่มีบทพากย์ครับ..

              วันนั้น เราเพียงเข้าไปดูเฉยๆ ให้เป็นบุญตา ไม่ได้นำอะไรติดออกมาเลย นอกจากความทรงจำ..วันนั้นเห็นเพื่อนๆ ของคุณแอ๊ดก็สนใจหนัง ก็ยังแอบคิดในใจว่า หากเราไม่ได้มา แต่กลุ่มคุณแอ๊ดที่ตอนนั้นมีศักยภาพมากกว่าผมได้มาทำภาพไว้ ก็ถือว่าเป็นโชคดีของคนไทยแล้วครับ หนังจะได้ไม่สูญพันธุ์..แต่ก็หาเป็นเช่นนั้นไม่..นี่แหละครับ บทเรียนสอนใจเราจริงๆ....

   
   
   
ในอดีตที่นี่เป็นแหล่งรวมหนังแห่งใหญ่ของอุดรและเป็นหน่วยหนังขายยาตั้งแต่ยุค 16 ม.ม.ที่เคยรุ่งเรืองในอดีตครับ


.......
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28 มีนาคม 2014, 12:13:36 โดย นายเค »
สรพงษ์ ลิ้มทองคำ
5 หมู่ 7 ต.คลองตาคต อ.โพธาราม ราชบุรี 70120    E-Mail soraphol@hotmail.com
ธ.กรุงเทพ ออมทรัพย์ สาขา อาคารยาคูลท์ สนามเป้า   หมายเลขบัญชี  210-036236-3
ธ.ไทยพาณิชย์  ออมทรัพย์ สาขา บางเขน   หมายเลขบัญชี  041-273435-0
ติดต่อ 0909040355

ชมรมรักหนังกางแปลง โพธาราม ราชบุรี เรามาคุยกันได

ออฟไลน์ นายเค

  • Thaicine Movie Team
  • Moderator
  • พี่น้อง thaicine Gold member
  • ***
  • กระทู้: 3814
  • พลังใจที่มี 616
  • เพศ: ชาย
              เมื่อ คืนวันเสาร์ที่ผ่านมา 29 มีนาคม 57 พวกเราหลายคนไปเจอะเจอกันที่คลองถม มีทั้งแบบนัดหมายและไม่ได้นัดหมาย มากันสุ่มๆ ก็เจอกันเอง วันนั้นมาเยอะครับ ดูตามรูปก่อน ใครเป็นใคร ดูกันเอาเอง.. แล้วผมก็นำภาพและเรื่องกรุฟิล์มกรุนี้ไปให้เพื่อนๆ ดูทบทวนความหลังกัน.. หลายคนได้แต่เสียดายครับว่า เราช้าเกินไป..แต่ก็มีบางท่านพยายามจะเจาะเข้าไปหารายละเอียด เผื่อว่า ถ้าเกิดเขายังไม่ทิ้งฟิล์ม..  ก็อาจเป็นโชคดีครับ..


            ตอนนี้ อาจจะมีใครบางคนที่กำลังเริ่มเบื่อหน่ายกับเรื่องของหนังไทยเก่าๆ ที่ทำไมมันดูเหมือนจะยุ่งยากไปหมดในการหามาดู..  ผมสังเกตเห็นว่า คนที่เคยเขียนคอมเม้นท์หลายคน ก็ไม่ค่อยจะเขียนแล้ว..ซึ่งเป็นธรรมดาเป็นธรรมชาติ เมื่อมาถึงจุดๆ หนึ่ง ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป..บางคนได้เห็นในสิ่งปรารถนาแล้ว ก็เป็นอันจบกัน..ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิดปกติเพราะเขาอาจจะมีอย่างอื่นๆ ให้สนใจมากกว่า..

            ไม่ว่ากันนะครับ.. แต่สำหรับผมแล้ว การพูดถึงหนังไทยเก่าๆ การออกตามหากากฟิล์มหนังไทยเก่าๆ ยังถือเป็นภารกิจหลักตามความชอบส่วนตัว..  แม้ดูจะเป็นงานที่ยุ่งยาก ซับซ้อนก็ตาม แต่หากเราท้อแท้หรือหยุดไป.. นั่นก็หมายถึง เราจะไม่ได้เห็นหนังไทยเก่าๆ บางเรื่องหรืออีกหลายๆ อย่างเรื่องแน่นอน..ยิ่งทุกวันนี้ พวกเราขยายการช่วยหนังมาถึงหนัง 35 มม.ด้วยแล้ว ภาระก็ยิ่งมากขึ้นเป็นเงาตามตัวในขณะที่แหล่งข่าวก็เริ่มมากขึ้นเช่นกัน วันนี้ มีโอกาสพูดคุยกับ อ.มานิตย์ เจ้าของพิพิธภัณฑ์หนังกลางแปลง..

            พอท่านทราบว่า พวกเราหากากฟิล์ม 35 มม.ด้วย ท่านก็บอกว่า เดี๋ยวจะช่วยหาแหล่งข่าวให้ด้วยเพราะท่านคุ้ยเคยกับคนฉายหนัง 35 มม.มาก่อน.. และผมก็ได้เบอร์โทรของแหล่งข่าวมาคนหนึ่งจาก อ.มานิตย์ ลองคุยดูแล้ว ก็ทราบว่า ยังมีกากฟิล์ม 35 มม.อยู่หลายเรื่อง เอาไว้ผ่านสงกรานต์ไปก่อน คงจะได้เช็ครายชื่อหนังกันว่า จะมีหนังเรื่องอะไรเหลืออยู่บ้าง..อย่างไรก็ตาม สำหรับกรุกากฟิล์มกรุข้างบนนี้ ผมก็ยังรอๆ ความหวังอยู่นะครับ เผื่อว่า จะมีท่านใดติดต่อทายาทเจ้าของได้ อย่างน้อยๆ ก็ได้คำตอบว่า มีหรือไม่มีฟิล์ม.. พวกเราจะได้ดำเนินการต่อไป..

            การออกตามหากากฟิล์มหนังที่พวกเราทำอยู่นี้.. บางครั้งก็ดูเหมือนได้มาง่ายดาย แต่บางครั้งก็ยากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทร..ความเข้าใจซึ่งกันและกันเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ แต่บางทีก็ยากจะทำความเข้าใจให้คนที่เก็บกากฟิล์มให้เขารู้ว่า ทำไม.. เราอยากได้กากฟิล์ม.. คำตอบที่ง่ายๆ และสั้นๆ ที่สุดก็คือ อยากได้ไปฉายดู อยากให้คนไทยคนอื่นๆ ได้รับรู้ว่า ครั้งหนึ่งในอดีตก็เคยมีหนังไทยเรื่องนี้ออกฉายมา แต่ปัจจุบันคงเหลืออยู่เท่าที่เราเห็นๆ และก็จะบอกว่าด้วยว่า เราได้กากฟิล์มมาจากใคร อาจมีการทำเทปสัมภาษณ์มาเผยแพร่ด้วยเพื่อให้สาธารณชนได้รู้ถึงแหล่งที่มา..ก็เท่านั้นเองครับ..

            สำหรับกากฟิล์มกรุนี้ เท่าที่ทราบมา เริ่มฉายมาตั้งแต่เป็นหนังขายยายุคหนัง 16 มม.และมาถึงยุค 35 มม. ครั้นเลิกกิจการแล้ว ก็ยังเก็บกากฟิล์มไว้ทั้งหมด หวงด้วย กระทั่งวันเวลาผ่านไปนานๆ ฟิล์มก็เริ่มเสือมสภาพเหลือเป็นกากฟิล์มขี้ฝุ่นเขรอะอย่างที่เห็นๆ ซึ่งในหมู่การซื้อขายกากฟิล์มนั้น ก็ดูเหมือนจะเป็นของไร้ค่า แต่สำหรับในแง่ประวัติศาสตร์แล้ว เหลือแค่ไหน ก็คือ มรดกภาพยนตร์ซึ่งเป็นมรดกของชาติ.. ผมเองลองคุยกับทายาทเจ้าของฟิล์มแล้ว ทราบว่า แม้ภายหลังจะรื้อโกดังตามภาพดังกล่าวข้างต้นแล้ว แต่ก็ยังเก็บกากฟิล์มไว้บางส่วนด้วย แต่เขาไม่ได้บอกว่า มากน้อยแค่ไหน.. และจากการเลียบเคียงๆ คนที่อยู่ใกล้ๆ กัน ก็ไม่ยืนยันว่า จะมีเหลือเก็บจริงหรือไม่เพราะทายาทที่ผมโทรฯคุยด้วยนั้น ก็บอกว่า ตอนรื้อโกดังนั้น บางส่วนที่มีดินปลวกเกาะฟิล์ม เขาก็ต้องเผาไฟทิ้งด้วย..

            วันนี้ ที่คุยกันเขายังตัดสินใจไม่ได้ว่า จะยอมให้เรายืมฟิล์มหรือไม่ (ยังไม่กล้าถามว่า จะขายหรือไม่ เกรงว่า เขาจะหาว่า เราดูถูกเขา เขามีฐานะครับ) ทายาทได้แต่บอกว่า ขอเบอร์โทรผมไว้ แล้วจะส่งข่าวให้..ก็ไม่รู้ว่าจะออกหัวหรือก้อย..ลืมบอกไปว่า นอกจากเขาจะทำหนังขายยาแล้ว เขายังทำธุรกิจโรงแรมมาตั้งแต่ปี 2509 ด้วย..ผมเห็นภาพหนึ่งในโรงแรมคือภาพนี้ครับ สังเกตตรงใกล้ๆ กรอบรูปจะมีฟิล์ม 35 มม.แขวนไว้หนึ่งม้วน..

            นั่นก็หมายถึงว่า ชีวิตของเขายังติดพันธุ์กับเรื่องฉายหนังครับ..ผมอยากให้เรื่องราวหนังขายยาเจ้านี้ได้เผยแพร่สู่สาธารณชนเพราะเขาคือผู้เก็บกากฟิล์มหนังเก่าๆ ไว้มากที่สุดแห่งหนึ่งครับ..แต่ก็ไม่รู้ว่า ผมจะมีโอกาสได้ทำหรือไม่..คำตอบไม่ได้อยู่ที่ผมแล้วครับ อยู่ที่ทายาทและผู้เกี่ยวข้องว่า จะไฟเขียวหรือไม่..


คนถ่ายรูปมีหลายคน แต่ว่ากล้องนี้เป็นของคุณRegis Madecกับแฟนครับ..เรานั่งกันเป็นสองกลุ่มเพราะคนมาเยอะ..


แต่ว่าเวลาถ่ายรูป ก็วิ่งวนๆ มาถ่ายรูปกันนะครับ..


ถ่ายรูปเพราะบางท่าน นานๆ จะมาสักครั้ง..

              พูดถึง การตามหากรุฟิล์มแล้ว ไม่มีอะไรแน่นอน..อาจจะได้หรือไม่ได้ แต่ก็ต้องลงมือทำครับ..ดูเทปเก่าๆ ที่เคยไปหากรุฟิล์มนะครับ ตอนนั้นก็ไม่คิดว่า จะได้กากฟิล์มมามากมายอะไร แต่ก็ได้มาเกินคาดและเป็นหนังสำคัญมากๆ ....

คลิ๊กเพื่อชมที่นี่...
วันที่ 21 กรกฎาคม 2556 เยี่ยมบ้าน อ.จรัส จันทร์พรหมรัตน์ นักสะสมเอกสารเก่าเมืองสงขลา ที่สุราษฎร์ธานี



              “...ตอนนี้ อาจจะมีใครบางคนที่กำลังเริ่มเบื่อหน่ายกับเรื่องของหนังไทยเก่าๆ ที่ทำไมมันดูเหมือนจะยุ่งยากไปหมดในการหามาดู..ผมสังเกตเห็นว่า คนที่เคยเขียนคอมเม้นท์หลายคน ก็ไม่ค่อยจะเขียนแล้ว..ซึ่งเป็นธรรมดาเป็นธรรมชาติ เมื่อมาถึงจุดๆ หนึ่ง ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป..บางคนได้เห็นในสิ่งปรารถนาแล้ว ก็เป็นอันจบกัน..ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิดปกติเพราะเขาอาจจะมีอย่างอื่นๆ ให้สนใจมากกว่า..ไม่ว่ากันนะครับ...”

ความเห็นส่วนตัว ผมว่ามี “ซุ่ม” ครับ

ไม่ใช่แค่ซุ่มดูติดตามกระทู้ อาจจะถึงขั้นดำเนินการแบบที่ทำอยู่ก็เป็นได้



               แหม..  ใช้คำซะ..ซุ่มดู..ก็ยังดีครับที่ยังคิดว่า ยังมีคนแอบสนใจหนังไทยเก่าๆ เหมือนพวกเรา แต่ถ้าสนใจแล้ว ถึงขั้นลงมือช่วยทำ ช่วยหาแบบนี้ด้วย ก็ยิ่งดีใหญ่เลยครับ พวกเราจะได้เหนื่อยน้อยลง ว่าแต่ถ้าทำแล้ว ก็แบ่งๆ กันดูบ้างนะครับ หนังมีไว้ให้ดู มิใช่มีไว้ให้เก็บเพราะหากว่า ฟิล์มชุดนั้นกลายเป็นชุดสุดท้ายของประเทศแล้ว การกักเก็บหนังไว้ดูคนเดียว ก็เท่ากับว่าเป็นการปิดกั้นผู้อื่นมิให้เข้าถึงข้อมูลหนังนั้นๆ ได้อีก แบบนี้ภาษาของผมจะเรียกว่า หนังเหล่านั้นเป็น หนังไทยสูญพันธุ์ แล้วครับ

               ชีวิตผมผูกพันอยู่กับหนังกลางแปลงมาตั้งแต่จำความได้ ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจถึงขนาดยอมเข้าไปเป็นเด็กฉายหนังของบริการหนังของพ่อเพื่อนในสมัยเรียนชั้น ม.ศ.3-ม.ศ.5 ก็ราวๆ ปี 2522-2524 ตอนนั้นก็ฝึกทุกอย่างตั้งแต่ขนของขึ้นรถ ตั้งจอ ตั้งลำโพง คุมเครื่องเสียง เป็นโฆษก เป็นคนฉายหนัง กระทั่งปลายปี 2524 ก็ต้องมาเรียนรามฯ ก็หยุดไป ระหว่างเรียน ถ้ากลับบ้านก็จะไปช่วยฉายอีก แต่ก็เริ่มเห็นแล้วว่า สื่อวีดีโอเทป สื่อโทรทัศน์กำลังเข้ามาแทนบ้างแล้ว..พอเรียนจบปลายปี 2527 แม้อยากจะไปฉายหนังอีก แต่เห็นว่า ไม่ค่อยมีคนดูเหมือนเก่า ก็เริ่มถอดใจ..แต่เพราะความชอบของเราจริงๆ คือ ชอบดูหนัง ก็เลยเริ่มเก็บสะสมวีดีโอหนังไทยไว้ดูแทน..แรกๆ ก็เก็บหนังที่ตัวชอบ ต่อมาก็เก็บหมด ขอให้เป็นหนังไทยเท่านั้น..

               พอมีหนัง ก็อยากมีเพื่อนคุย อยากมีเพื่อนดู แต่ก็หาคนชอบได้ยาก ยิ่งถ้าเป็นหนังไทยเก่ามากๆ พูดไป ก็ไม่มีใครรู้จัก ก็เลยสงสัย ทำไมคนไทยถึงไม่สนใจหนังไทยเก่าๆ.. แล้ววันหนึ่งจึงพบว่า ก็เพราะเรื่องราวและข้อมูลประวัติศาสตร์หนังไทยนั้นเข้าถึงยากและหาได้ยากจริงๆ สมัยนั้นใบปิดโปสเตอร์สักใบ ก็หายาก ประวัติหนัง ประวัติดารา ก็หายาก ผมจึงเริ่มออกค้นหาประวัติหนัง หาเอกสารต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับหนังมาสะสมไว้ มาทำข้อมูลและเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2548 ผมจึงเริ่มเข้าไปเขียนเล่าประวัติศาสตร์หนังไทยประกอบภาพนิ่งที่เว็บไทยฟิล์มของมูลนิธิหนังไทย ใช้ชื่อกระทู้ว่า ชุมทางหนังไทยในอดีต ก็ได้พบเพื่อนหลายคนและเพื่อนๆ ก็เริ่มนำเรื่องราวตลอดจนภาพนิ่งต่างๆ มาโพสให้คนทั่วไปได้รับรู้มากขึ้น..จุดนี้เอง ที่ทำให้ข้อมูลหนังไทยเก่าๆ เริ่มค้นหาได้ง่ายขึ้นแล้ว

               ต่อมาเมื่อมี facebook ที่โพสหนังประกอบได้ ผมถึงเริ่มนำบางส่วนของหนังที่เก็บสะสมไว้มาโพสบ้าง ก็เกรงใจเจ้าของหนังเขานะครับ ตั้งใจว่าจะโพสเพียงเพื่อให้คนไทยรู้จักประวัติศาสตร์ของหนังเรื่องนั้นๆ รู้จักว่า ใครเป็นสร้าง ใครเป็นคนกำกับ รู้ที่มาที่ไปของหนัง รู้กระแสหนังเมื่อแรกฉายว่าเป็นอย่างไร ตั้งใจแต่แรกแล้วว่า จะไม่โพสให้จบเรื่อง หวังแต่ว่าเจ้าของหนังเขาจะมองว่า เราช่วยประชาสัมพันธ์หนังเขาให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น หากวันหนึ่งหนังไทยเก่าๆ กลับมาบูมอีก เจ้าของเขาจะได้ทำออกมาจำหน่ายอีก เราก็จะได้หนังที่สมบูรณ์มากขึ้น.. ที่ทำๆ อยู่ทุกวันนี้ ก็หวังแค่นี้แหละครับคือ..ไม่อยากให้ประวัติศาสตร์หนังไทยต้องถูกลืม ไม่อยากให้หนังไทยหายไปจากความทรงจำและอยากเห็นหนังไทยเก่าๆ กลับมาบูมอีกครับ..

               ทุกครั้งที่ผมออกตามหากากฟิล์มหนังไทยเก่าๆ ผมจะพยายามเก็บเกี่ยวเรื่องราว เรื่องเล่าตลอดจนประวัติต่างๆ ของเจ้าของกากฟิล์มมาฝากเพื่อนๆ เสมอ ทั้งนี้ เพื่อเป็นการยกย่อง ให้เกียรติผู้ที่เก็บมรดกสำคัญของชาติไว้และลึกๆ ก็อยากให้คนที่ได้ดูหนังเหล่านั้น ได้รู้ที่มาที่ไปของกากฟิล์มด้วย.. แรกๆ ก็จะเป็นเพียงการเขียนเล่าเรื่อง แต่ระยะหลังๆ ผมเริ่มใช้วิธีอัดเทปวีดีโอกึ่งสัมภาษณ์เพื่อให้เห็นภาพสมจริงยิ่งขึ้น

               อย่างกากฟิล์มกรุนี้ ผมก็อยากให้ทุกคนได้รู้ความเป็นมา..เพราะเท่าที่ฟังๆ มานั้น ก็พอจะคาดเดาได้แล้วว่า เป็นกรุฟิล์มที่มีความเป็นมาที่น่าสนใจ ควรอย่างยิ่งที่จะต้องมีการบันทึกเทป “ตำนานหนังขายยา” เจ้านี้เก็บไว้เป็นหลักฐานก่อนที่เรื่องราวจะสูญหายไปตามกาลเวลา..แต่เมื่อผมได้คุยกับคุณสุวรรณีฯ ซึ่งเป็นทายาทเจ้าของกากฟิล์มแล้ว ก็คิดว่า ยากครับที่กากฟิล์มจะมาถึงมือพวกเรา.. แต่นั่น ก็ไม่ใช่เหตุผลที่ผมจะไม่เขียนถึงที่มาของกากฟิล์มกรุนี้.. ผมเล่าสรุปๆ จากที่ได้รับฟังมานะครับ...อาจจะตกหล่นหรือผิดถูกบ้างเพราะประมวลเหตุการณ์จากคุณสุวรรณีและข้อเท็จจริงของผู้เคยพบเห็นหนังขายยาเจ้านี้...


               ตำนานหนังขายยาเจ้านี้ เริ่มต้นขึ้นที่ตัวเมืองอุดรธานีในยุคหนัง 16 มม. เจ้าของตั้งชื่อว่า หนังขายยาตรานกกระจอกเทศ ของห้างขายยาศรีตระการเภสัช เริ่มออกฉายหนังให้ดูฟรีๆ และขายยาไปด้วย (ยังไม่ทราบตำรับยาว่า เป็นยาจำพวกไหน) นอกจากขายยาแล้ว ก็ยังทำธุรกิจโรงแรมศรีตระการด้วย เปิดประมาณปี 2509 (ปัจจุบันมี facebook)

ตามลิงค์นี้
https://www.facebook.com/Sritrakarnhoteludon


               เรื่องราวความเป็นนั้น ผมยังไม่ได้เจาะลึกเพราะยังไม่ได้ลงไปพูดคุยกัน รู้แต่ว่า เจ้าของซึ่งเป็นคุณพ่อนั้นเสียชีวิตตอนอายุ 90 กว่าปี..ส่วนผู้อื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น คนฉายหนัง คนพากย์หนัง ถ้าอยู่ก็คงยากที่จะพูดคุยได้ ที่เหลือๆ ก็จะเป็นทายาทชั้นลูกหลาน แต่ก็พอรู้เรื่องหนังขายยาบ้าง เห็นว่า น่าจะมีภาพถ่ายอยู่นะครับ.. แต่หากประเมินจากกองกากฟิล์มและอุปกรณ์การฉายหนังที่เหลือเก็บไว้ในโกดังตามภาพถ่ายข้างต้นแล้ว ก็ต้องบอกว่า หนังขายยาศรีตระการเภสัช นั้นเป็นธุรกิจที่รุ่งเรืองจริงๆ ผมเคยอ่านเจอข้อความที่เขียนไว้ว่า สมัยนั้นไม่มีใคร ไม่รู้จักหนังขายยาเจ้านี้..

               อย่างไรก็ตาม แม้จะทำธุรกิจหนังขายยา แต่สำหรับอุปกรณ์เครื่องใช้ที่เกี่ยวกับการฉายหนังตลอดจนกากฟิล์มหนังนั้น เล่ากันว่า ผู้เป็นเจ้า รักและหวงแหนมากๆ ขนาดเก่าแล้ว เสียแล้ว ก็ยังไม่ยอมทิ้งหรือขายให้ใคร.. ของที่เราเห็นๆ อยู่ในโกดังนั้น แรกๆ ก็มีสภาพดีอย่างปกติ แต่ว่าพอสิ้นเจ้าของและเลิกกิจการฉายหนังแล้ว ก็ถูกนำมาเก็บไว้เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งตระกูลหนังขายยาศรีตระการ..


               เรื่องราวความเป็นนั้น ผมยังไม่ได้เจาะลึกเพราะยังไม่ได้ลงไปพูดคุยกัน รู้แต่ว่า เจ้าของซึ่งเป็นคุณพ่อนั้นเสียชีวิตตอนอายุ 90 กว่าปี..ส่วนผู้อื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น คนฉายหนัง คนพากย์หนัง ถ้าอยู่ก็คงยากที่จะพูดคุยได้ ที่เหลือๆ ก็จะเป็นทายาทชั้นลูกหลาน แต่ก็พอรู้เรื่องหนังขายยาบ้าง เห็นว่า น่าจะมีภาพถ่ายอยู่นะครับ.. แต่หากประเมินจากกองกากฟิล์มและอุปกรณ์การฉายหนังที่เหลือเก็บไว้ในโกดังตามภาพถ่ายข้างต้นแล้ว ก็ต้องบอกว่า หนังขายยาศรีตระการเภสัช นั้นเป็นธุรกิจที่รุ่งเรืองจริงๆ ผมเคยอ่านเจอข้อความที่เขียนไว้ว่า สมัยนั้นไม่มีใคร ไม่รู้จักหนังขายยาเจ้านี้..

               อย่างไรก็ตาม แม้จะทำธุรกิจหนังขายยา แต่สำหรับอุปกรณ์เครื่องใช้ที่เกี่ยวกับการฉายหนังตลอดจนกากฟิล์มหนังนั้น เล่ากันว่า ผู้เป็นเจ้า รักและหวงแหนมากๆ ขนาดเก่าแล้ว เสียแล้ว ก็ยังไม่ยอมทิ้งหรือขายให้ใคร.. ของที่เราเห็นๆ อยู่ในโกดังนั้น แรกๆ ก็มีสภาพดีอย่างปกติ แต่ว่าพอสิ้นเจ้าของและเลิกกิจการฉายหนังแล้ว ก็ถูกนำมาเก็บไว้เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งตระกูลหนังขายยาศรีตระการ..



               ประเมินจากกากฟิล์มที่เหลือๆ ที่ผมมีโอกาสได้ไปเห็นเมื่อต้นเดือนมกราคม 2551 แล้ว บอกได้เลยว่า กากฟิล์มกรุนี้คือ ขุมทองของหนังไทยในยุค 16 มม. ม้วนฟิล์ม 16 มม.ที่เราเห็นกองๆ วางไว้ คนฉายหนังทั่วไปเห็นภาพ ก็อาจจะมองว่าเป็นขยะเพราะมีฝุ่นจับ มีปลวกเกาะกิน คนที่จะซื้อฟิล์มไป ก็มองไม่ออกว่าเป็นเรื่องอะไร ก็เลยดูไม่มีราคา..ทุกอย่างก็เลยปล่อยทิ้งไว้อย่างนั้น..แต่สำหรับผมแล้ว กากฟิล์มแต่ละม้วนที่เหลือๆ มานั้น มันยังพอฉายทำภาพเก็บไว้ได้ จะได้น้อย ได้มาก มันก็คือ ส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์หนังไทย

 

               สมัยนั้น กากฟิล์มต่างๆ จึงมักจะถูกขายทิ้งมายังภาคอีสานเป็นแหล่งสุดท้ายและเมื่อฉายเสร็จแล้ว ก็ปล่อยต่อไปยังภาคอื่นไม่ได้ พอนับอายุการเปิดกิจการหนังขายยากับเห็นกองกากฟิล์มแล้ว ผมก็อยากรู้ว่า หนังขายยาเจ้านี้เคยมีหนังเรื่องอะไรบ้าง ใจก็คิดๆว่า นั่นต้องเป็นฟิล์มหนังไทยชุดสุดท้ายที่มาตกอยู่ ณ ที่แห่งนี่..และหนังเรื่องนั้นๆ จะมีอยู่ที่นี่แห่งที่เดียว..ยิ่งข่าวว่า เจ้าของรักและหวงฟิล์มมาก ก็ยิ่งทำให้โอกาสที่จะพบหนังไทยเก่าๆ จากกรุนี้ดูน่าสนใจมากขึ้นตามไปด้วยและมีความเป็นไปได้สูงมากๆ ที่กองกากเหล่านั้นจะมีหนังเรื่องสำคัญหลงเหลืออยู่ครับ..

               เมื่อ 7 ปีที่แล้ว แค่ผมเห็นกองกากฟิล์มเหล่านั้น ความรู้สึกก็คือ ทำอย่างไร เราจะได้กากฟิล์มเหล่านี้มาฉายดู มาฉายทำข้อมูลประวัติศาสตร์หนังไว้ก่อนที่ฟิล์มจะเสียหายไปมากกว่านี้..แม้โกดังจะดูโปร่งๆ เพราะหลังคาสูง แต่ผมก็ไม่ไว้ใจภัยธรรมชาติอย่างอื่น บอกตรงๆ วันนั้นอยากจะขนกากฟิล์มเหล่านั้นกลับมาทั้งหมด แต่ก็ทำไม่ได้..ก็ได้แต่คิดว่า ถ้าเจ้าของหวงจริง ของก็ต้องเก็บไว้อย่างนี้ก่อน เราจะต้องมีผลงานอื่นๆ มาให้เขาเห็นว่า เรารัก เราชอบ เราจะนำไปเผยแพร่ให้คนไทยได้รู้ ได้เห็นและเป็นประโยชน์แก่สาธารณชน แล้วเราค่อยมาขอความเห็นใจเขา...

               พอมาถึงวันนี้ วันที่ผมได้คุยกับคุณสุวรรณี ทายาทเจ้าของกากฟิล์ม..ก็เลยทราบว่า คุณสุวรรณีเป็นผู้จัดการโรงแรมศรีตระการ ส่วนเรื่องกากฟิล์มนั้น มีน้องชายอีกคนเป็นผู้ดูแลและยังทราบอีกว่า เมื่อตอนที่รื้อโกดังนั้น ฟิล์มบางส่วนถูกเผาทิ้งเพราะมีรอยขี้ปลวกเกาะอยู่.. ผมใจหายแว่บเลยเพราะเสียดาย ไม่รู้เผาหนังเรื่องอะไรไปบ้าง แต่ก็มีบางส่วนที่ไม่ได้เผา ยังคงเก็บไว้ แต่ให้น้องชายดูแลแทน..แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมคิดว่า พวกเราจะไม่ได้กากฟิล์มกรุนี้ก็คือ คุณสุวรรณีบอกว่า ตอนนี้มีหน่วยงานเกี่ยวกับหนังกำลังทำเรื่องขอกากฟิล์มเหล่านั้นครับ..


               ใช่ครับ สำหรับผมนั้น ที่พยายามเล่าเรื่องหนังไทยเก่าๆ พยายามตามหากากฟิล์มมาฉายประกอบการเล่าเรื่อง ก็หวังเพียงเพื่อจะให้เรื่องราวของหนังไทยเก่าๆ ไม่ถูกลืม อยากให้มีแนวร่วมอุดมการณ์เดียวกันเพิ่มขึ้นมากๆ จะได้มาช่วยกันทำงานให้เร็วขึ้นเพราะอายุฟิล์มหนังนั้น ไม่อยู่รอเรา ฟิล์มต้องตายไปเรื่อยๆ ส่วนคนที่รอดูหนัง บางครั้งก็ต้องรอจนตัวตายไปก่อนก็มี..นี่ไม่ได้พูดเล่นๆ นะครับ.บางครั้งเรารู้ว่ายังมีฟิล์ม มีวีดีโออยู่ แต่ดันไปอยู่กับคนที่เขาหวงจริงๆ ไม่ยอมให้ใครดูโดยไม่มีเหตุผลและบางคนก็อ้างเหตุผลสารพัดที่จะไม่ให้ดู..แต่แน่ๆ ก็คือ อยากมีคนเดียว อาจเก็บคนเดียวมากกว่า..ข้อนี้แหละครับที่ทำให้ประวัติศาสตร์หนังไทยส่วนนั้นไม่สมบูรณ์หรืออาจจะสูญหายไปในที่สุด.. เพื่อเป็นการพิสูจน์ว่า เราจะได้ดูหนังที่เราอยากดูก่อนตายหรือไม่..ให้เราลองคิดเล่นๆ ว่า ตอนเด็กๆ เราเคยดูหนังเรื่องอะไรที่ชอบมากๆ และวันนี้อยากจะดูอีกครั้ง..แล้วเราก็จดชื่อหนังเรื่องนั้นแปะไว้ข้างฝา..แล้วลองนั่งปล่อยเวลาไปเรื่อยๆ ซิครับว่า เราจะได้ดูหนังเรื่องนั้นหรือไม่..

               เมื่อเกือบ 20 ปีที่แล้ว ผมก็ทำแบบนี้ ได้แต่นั่งเพ้อว่า อยากจะดูหนังเรื่องนั้นเรื่องนี้ แล้วก็นั่งรอๆๆๆๆ หากจะขวนขวายบ้่าง ก็ได้มาแต่เพียงใบปิดโฆษณากับเรื่องย่อมาเท่านั้น..แล้วตัวหนังมันหายไปไหน..ในที่สุดก็พบสัจจะธรรมว่า หากไม่ลงมือหาเอง ทำเอง ก่อนตายเราก็คงไม่ได้ดูหรอกครับ..เมื่อแนวคิดนี้กระจายไปยังกลุ่มเพื่อนๆหลายคน จึงเกิดความร่วมมือกันขึ้นมาเพื่อออกตามหาหนังไทยที่ตัวเองอยากดู..แต่ก็นั่นแหละครับ หนังที่อยากดูจริงๆ กลับหาได้ยากเนื่องจากก๊อบปี้ฟิล์มถูกใช้จนเสื่อมสภาพ เกือบจะหมดแล้ว..คราวนี้ พอเราเจอกากฟิล์มสั้นๆ เหลือแค่ไหน เราก็เลยต้องดูแค่นั้น..อย่างน้อยๆ ก็เพื่อเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ว่า เราได้ลงมือทำแล้ว หาแล้ว..บางเรื่องที่อยากดูมากๆ เช่น สิงห์ล่าสิงห์ ปี 2507 รุ่นมิตร ชัยบัญชา ที่คุณนำดี วิตตะ สร้างไว้อย่างโด่งดังนั้น..เรายังไม่เคยเจอฟิล์มเลยเพราะเป็นหนังดังมากๆ เจอแต่คนเคยฉาย เคยพากย์อยู่ที่จังหวัดสุรินทร์ ผมก็นั่งคุยกับเขาจนอิ่มอกอิ่มใจ (ตอนนั้นยังไม่มีกล้องวีดีโอบันทึก) พอคุณโต๊ะพันธมิตรคุยกับคุณนำดี วิตตะ ก็เลยทราบว่า มีฟิล์มอยู่เพียง 4-5 ก๊อบปี้ทั่วประเทศและตัวคุณนำดี ก็ไม่มีแล้ว ยังฝากพวกเราให้ช่วยตามหาเลย..

               แต่เราก็ยังตามไม่เจอ ความหวังผมเมื่อเห็นกรุฟิล์มของศรีตระการเภสัช ที่มีหนังไทยเก่ามากๆ อยู่หลายเรื่อง เห็นกองกากฟิล์มอยู่เยอะแยะ ก็ยังแอบคิดเลยว่า มันน่าจะมีหนังสำคัญแบบนี้หลงเหลือมาสักม้วนซิน่า..แต่เราก็ไม่มีโอกาสได้รื้อ ได้ค้น..ก็ไม่เป็นไรครับ ใครจะได้เข้าไปทำ หากทำให้เราได้ดูจริงๆ เราก็สนับสนุนอยู่แล้ว..กองกากฟิล์มเหล่านี้คือ พวกเรามองว่า มันคือสมบัติข้อมูลประวัติศาสตร์หนังไทยที่มีค่ามหาศาล..ต้องดูแลเป็นพิเศษ ต้องรีดเอาภาพจากฟิล์มออกมาให้ได้มากที่สุด..แต่ก็กลัวเหลือเกิน กลัวว่า คนอื่นๆ จะมองว่าเป็นแค่เศษขยะเพราะเห็นมันมีขี้ปลวกเกาะกิน รีลก็เป็นสนิมเขรอะ ฟิล์มเหลือสั้นๆ ก็จะถอดใจ ทิ้งมันไป..เท่านั้นแหละครับ..

               พอผมคุยกับคุณสุวรรณีแล้วจึงได้ทราบว่า ก่อนหน้านี้เป็นปีๆ มาแล้ว เขามีการติดต่อขอบริจาคฟิล์มกรุนี้ไว้ครับ แต่ยังรอการตัดสินใจจากทายาทหลายคนที่จะให้คำตอบ..เขาก็เลยบอกแต่เพียงว่า ถ้าจะให้เรายืมฟิล์มนั้น เขาก็จะโทรมาบอกผมเองครับ เข้าใจว่า คงเป็นการปฏิเสธแบบผู้ดีนะครับ..ผมเลยต้องถอยออกมาก่อน อีกอย่างเขาคงยังไม่ทราบว่า ผมจะเอาฟิล์มมาทำอะไรบ้างเพราะเฟสบุ๊กของโรงแรมนั้น เข้าใจว่า เป็นพนักงานเป็นคนเล่นนะครับ..เรื่องการตามหาฟิล์มหนังเก่าๆ นั้น ผมคิดว่า ใครจะได้ฟิล์มหนังมา ไม่สำคัญนะครับ ผมยินดีด้วยที่มีหลายๆคนช่วยกัน ไม่ต้องแย่งกัน ขอแต่เพียงว่า ถ้าได้ฟิล์มมาแล้ว อยากให้รีบๆ ทำออกมาให้เราได้ดูด้วยเท่านั้นเองครับ ขอแค่นี้แหละครับ อย่าเก็บเงียบไว้คนเดียวเพราะเรื่องของหนังไทยเก่าๆ นั้นเป็นศิลปะสาธารณะแล้วครับ หนังเขาสร้างมาฉาย เจ้าของหนังอยากให้เผยแพร่เพราะไม่ใช่งานส่วนตัวที่จะต้องเก็บงำไว้คนเดียว..

               ส่วนเรื่องการตามหากากฟิล์มจากกรุอื่นๆ ช่วงนี้นั้นก็ต้องค่อยๆ ติดตามกันต่อไปนะครับ ก็มีเพื่อนๆ พี่ๆ หลายคนให้ข้อมูลมา แต่ช่วงนี้ไปจนถึงสิ้นเดือนเมษายนนั้น คุณนุฯ ติดเรียนคอมฯเพิ่มเติม ก็เลยยังออกต่างจังหวัดไม่ได้ครับ..ช่วงวันหยุดยาวตั้งแต่พรุ่งนี้ และก็ช่วงวันหยุดสงกรานต์ พวกเราก็เลยจะเคลียร์ฟิล์มต่างๆ ที่ไปรับมาก่อนนี้ให้หมดครับ..และเมื่อค่ำนี้ คุณนุฯ ก็ตัดสินใจสั่งซื้อเครื่องฉาย 16 มม.มาอีกเครื่องแล้วครับ เอาไว้รองรับฟิล์ม 16 มม.ที่จะตามมาครับ...

               
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10 เมษายน 2014, 01:25:30 โดย นายเค »
สรพงษ์ ลิ้มทองคำ
5 หมู่ 7 ต.คลองตาคต อ.โพธาราม ราชบุรี 70120    E-Mail soraphol@hotmail.com
ธ.กรุงเทพ ออมทรัพย์ สาขา อาคารยาคูลท์ สนามเป้า   หมายเลขบัญชี  210-036236-3
ธ.ไทยพาณิชย์  ออมทรัพย์ สาขา บางเขน   หมายเลขบัญชี  041-273435-0
ติดต่อ 0909040355

ชมรมรักหนังกางแปลง โพธาราม ราชบุรี เรามาคุยกันได

ออฟไลน์ นายเค

  • Thaicine Movie Team
  • Moderator
  • พี่น้อง thaicine Gold member
  • ***
  • กระทู้: 3814
  • พลังใจที่มี 616
  • เพศ: ชาย
สวัสดีครับทุกท่าน..เรื่องการตามหากากฟิล์มหนังของพวกเรานั้น บทเวลาจะได้ เราก็ได้มาแบบคาดไม่ถึง..แต่เวลาจะไ่ม่ได้ เราก็ไม่ได้แบบคิดไม่ถึง..เหมือนกันครับ..ไม่รู้ว่าเป็นเวรเป็นกรรมอะไรระหว่างเรากับหนังไทยเก่าๆ กันแน่..  ถ้าเป็นไปได้ ผมอยากให้ชวนไปเปิดกรุหาฟิล์มหนัง ศรีตระการเภสัช เ้จ้านี้นะครับ..ผมเสียดายกากฟิล์มจริงๆ ครับ  จังหวัดอุดรธานี ครับ..ผมเคยไปแล้ว แต่ตอนนั้นเจ้าของยังหวงอยู่..ตอนนี้ทราบว่า กากฟิล์มบางส่วนถูกทำลายไปแล้ว เหลือเพียงบางส่วนครับ..  

               เท่าที่ฟังๆ มานะครับ กรุนี้ เจ้าของเป็นรุ่นคุณพ่อ.. เขาจะรักและหวงฟิล์มมากๆ ก็เลยไม่มีใครเข้าไปเกี่ยวข้อง ก็เก็บไว้เรื่อยมาจนทุกอย่างเป็นไปตามกาลเวลา..มาทราบทีหลังว่าท่านเสียชีวิตอายุประมาณ 92 ปีครับ..พอมาถึงชั้นลูกๆ ก็ไม่ได้ทำกิจการเกี่ยวกับหนังแล้ว..บางสิ่งที่เสียหายไป ก็เลยเก็บกวาดเผาทิ้งบ้าง เหลือไว้บ้างแต่ไม่รู้เหลือเท่าไรเพราะยังไม่เปิดเผย..  ภาพเก่าๆ นี้ถ่ายไว้ตอนปี 2550 ครับ ผมเคยไปเห็นสถานที่จริงในปี 2551 ครับ ถ้าปีนั้น เราได้ฟิล์มมา ก็จะช่วยหนังได้อีกเยอะครับ..ตอนนี้ ไม่รู้จะเหลืออะไรบ้าง แต่ที่อยากให้มีการบันทึกเทปไว้ก็คือ ตำนานหนังขายยาห้างศรีตระการเภสัช ตรานกกระจอกเทศ นะครับเพราะยังมีรุ่นลูกหลานที่ยังอยู่ ยังพอจำเรื่องได้ครับ แต่ว่า ตอนนี้ยังไม่ใช่โอกาสของพวกเราครับ.. ต้องรอให้เจ้าของเขาเห็นดีกับเราด้วยก่อนครับ..

               มีข้อเตือนใจอย่างหนึ่งของคนตามหากากฟิล์มหนังเ่ก่าๆ ก็คือ เห็นกากฟิล์มแล้ว ต้องรีบนำมาให้ได้..แม้เป็นฟิล์มที่ไม่รู้ชื่อเรื่อง ก็ต้องนำมาโดยเฉพาะถ้าเป็นฟิล์ม 16 มม.อย่างกองนี้แล้ว ต้องรีบนำมาซ่อมแซมและฉายทำภาพไว้ทันที..บางครั้งเขาอาจคิดว่า ไม่รู้ว่าเป็นหนังเรื่องอะไร ก็เลยชะล่าใจว่า รอไว้ก่อนดีกว่า..แต่การรอที่แข่งกับระยะเวลาที่จะเข้ามาทำให้ฟิล์มเสียหายมากขึ้น ก็คือข้อผิดพลาดอย่างหนึ่ง..

               สำหรับกรุฟิล์มกรุนี้ ผมเองเห็นครั้งแรกเมื่อปี 2551 ภาพกองฟิล์มแบบนี้แหละครับ แต่เพราะคิดว่า จะมีคนอื่นมาเอาไปทำไปซ่อมแล้ว จึงชะล่าใจ ปล่อยเวลาให้ผ่านไป ที่ไหนได้ ยังไม่มีใครไปเอามาจริงๆ กระทั่งบางส่วนเริ่มตายไปแล้ว จึงมีการนำไปทิ้งบ้าง เก็บไว้บ้าง..มารู้ตอนนี้ก็ได้แต่เสียดาย เสียดายที่คิดว่าจะมีคนอื่นช่วยหนังจริงๆ..เขียนมาแบบนี้ ท่านอาจจะรู้สึกงงๆ ว่า เสียดายอะไรนักหนา..ก็ท่านลองคิดเ่ล่นๆว่า ถ้าในกองกากฟิล์มที่เรายังไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไรบ้างนั้น เกิดมีหนังอย่าง เล็บครุฑลือชัย..ชาติเสือมิตร ชัยบัญชา..สิงห์่ล่าสิงห์มิตร-สมบัติ..หรือหนังดังๆ เรื่องอื่นๆ ที่ปัจจุบันหาฟิล์มได้ยาก แต่ไปหลงเก็บอยู่กับกรุนี้..ท่านจะรู้สึกอย่างไรครับ..

              ความหวังที่จะเห็นหนังจากกรุฟิล์มห้างขายยาศรีตระการเภสัช ดูจะเลือนลางไปเรื่อยๆ ไม่แน่ว่า เราจะได้เห็นได้ดูกันเมื่อไร ทางก็ยังไม่เปิด..ต่างกับคนเก็บฟิล์มอีกท่านหนึ่งที่มี อ.มานิตย์ แห่งพิพิธภัณฑ์หนังกลางแปลง อ.งาว จ.ลำปาง แนะนำผมให้รู้จัก..เพียงคุยกันครั้งเดียว ก็ดูเหมือนหนทางจะราบรื่น เขาเข้าใจเราว่า จะเอากากฟิล์มมาทำอะไร แม้ว่าเขาจะเคยฉายหนัง เคยพากย์ในยุคหนัง 16 มม.มาตั้งแต่ปี 2510 แต่ก็มีเหลือเพียงเรื่องเล่าว่า เคยฉาย เคยพากย์เรื่องอะไรบ้าง ฟิล์ม 16 มม.ไม่เหลือแล้วครับ มีแต่หนัง 35 มม.ที่ยังฉายอยู่..คุยกันทางโทรศัพท์ไม่สนุก ท่านก็เลยชวนผมให้ไปเยี่ยมที่บ้านทางภาคอีสาน..บอกว่ามีฟิล์มหนังจะให้ แม้ว่าไม่เก่ามาก แต่ก็มีเรื่องเล่าในอดีตที่น่าสนใจ..แถมยังบอกว่า ตอนนี้ไปหาเครื่องฉายหนัง 16 มม.มาได้หลายตัว ขอให้ผมนำฟิล์ม 16 มม.ไปฝากด้วย..ก็คิดว่า คงจะไปหาท่านต้นๆ เดือนพฤษภาคมนี่แหละครับ..

               วันหยุดยาวๆ ช่วงสงกรานต์แบบนี้ ผมกับคุณนุฯและเพื่อนอีก 2 คน ก็ไม่ได้ไปไหน แต่ไปสุมหัวคุยกันเรื่องหนังไทยเก่าๆ..ก็เรียกว่า คุยกันไป ฉายหนังกันไป.. จะหนักหน่อยก็ตรงฟิล์มเก่าๆ ที่บิดๆ งอๆ เพราะต้องซ่อมแซมก่อนฉายนั่นแหละครับ..การฉายหนังครั้งนี้ พวกเราก็เจอฟิล์มธรรมดาหลายเรื่องออกอากาศบิดๆงอๆ.. แต่ก็ยังพอฉายไปได้ เก็บภาพไว้ได้.. แต่ที่หนักหน่อยก็คือ ฟิล์มที่หดตัวจนทำให้รูหนามเตยหดตามไปด้วย ก็เลยฉายไม่ผ่านเครื่อง ผมพยายามลองฉายแล้ว ฉายไปได้สักพัก ก็ต้องหยุดฉายเพราะภาพจะสั่นๆ เนื่องจากเฟืองเครื่องฉายเข้าไม่ตรงกับรูหนามเตยที่หดตัว..เอาไว้ผมตัดต่อเสร็จจะนำภาพมาฉายให้ชมนะครับ..

               จากปัญหาที่เราพบกับฟิล์มเก่าๆ เหล่านี้ ก็เลยทำให้พวกเราคิดกันว่า เราจะช้ากว่านี้อีกไม่ได้แล้ว เพื่อนคนหนึ่งซึ่งไปได้ฟิล์มหนังสำคัญมา 2 เรื่อง เรียกว่าเป็นหนังในดวงใจของคนไทยทั้งประเทศก็ว่าได้ ทีแรกก็คิดว่า จะพยายามเก็บรักษาฟิล์มชุดนั้นไว้ให้นานที่สุด แต่พอมาเจอปัญหาว่า เวลากรอฟิล์มไป-กลับ ฟิล์มก็จะมีน้ำมันเยิ้มๆ ซึมออกมาตลอด..รอยต่อที่เป็นสก๊อตเทป ก็หลุดออกหมด ต้องเสียเวลามานั่งต่อเทปใหม่หมดจึงจะฉายได้ แต่ก็อยู่อีกไม่นาน เจอน้ำมันซึม ก็หลุดอีก..บางช่วงที่ฟิล์มบิดๆ งอๆ เวลาฟิล์มวิ่งผ่านเครื่องฉาย เราก็จะเห็นว่า ฟิล์มที่ไหลผ่านเครื่องนั้นสภาพงอยังกับฝักสะตอ เบี้ยวไปเบี้ยวมา..ก็ได้แต่ลุ้นว่า จะฉายผ่านเครื่องไหมหนอ..แถมเวลาฉาย ก็ยังมีกลิ่นเหม็นเปรี้ยวเหมือนน้ำส้มสายชูโชยมาเข้าจมูกเป็นระยะๆ ด้วย ยิ่งมาเจอฟิล์มหดตัวอีกด้วย..

               พวกเราก็เลยปลงใจกันว่า ฟิล์มนั้นเราเก็บไว้ตลอดไปไม่ได้แน่ๆ ครับ..ฉะนั้น ก่อนฟิล์มจะตาย เราต้องทำอะไรเพื่อช่วยฟิล์มไว้ก่อน..ครั้นจะทำฟิล์มขึ้นใหม่ ก็แพงเหลือเกิน เราคงไม่มีปัญญา เหลือแต่ทางเดียวว่า ต้องนำฟิล์มมาฉายเก็บภาพไว้ก่อนเท่านั้น จึงจะช่วยหนังได้..อย่างหนังสำคัญ 2 ที่ว่านั้น ถ้าเพื่อนไม่ไปขอมาเจ้าของฟิล์มเดิมละก้อ.. ป่านนี้ ฟิล์มก็คงเน่าหมดแล้วครัับ..ดีนะครับที่ยังได้มาทันเวลา หนังจึงรอด..ผมคาดว่า นี่ถ้าช้ากว่านี้อีกหน่อย หนังก็คงสูญพันธุ์ไปแล้วครับ.. หนังไทยเก่าๆ ยังมีคนสนใจอีกเยอะครับ ดูได้จากตัวเลขในยูทูปข้างล่างนี้ดู มีคนเข้ามาดูมากครับ เพียงแต่ว่า เราจะทำอย่างไรที่จะทำให้เกิดกระแสแรงๆ จนทำให้ผู้ผลิตหนังไทยเก่าๆ มีแรงที่จะออกช่วยหนังไทยกันมากกว่านี้เท่านั้นเองครับ..


               คุยกับคุณนุฯแล้ว เห็นบ่นว่า กรุฟิล์มของอาจารย์ท่านหนึ่งที่จังหวัดร้อยเอ็ดซึ่งผมเคยไปเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ไม่รู้ว่าจะยังเก็บฟิล์มไว้อีกหรือไม่..ลองโทรไปแล้ว ก็ไม่มีคนรับสาย..อยากรู้ว่า ทิ้งฟิล์มไปหรือยัง..ผมเองตอนนี้ก็มีแต่เบอร์โทรบ้านและเลขที่บ้าน แต่ก็ติดต่อไม่ได้เลย ครั้นจะนั่งรถไปร้อยเอ็ดเองก็กลัวจะเสียเที่ยว..ก็เลยขอความช่วยเหลือจากเพื่อนหน่อยว่า ใครมีญาติมิตรหรือเพื่อนที่อยู่ในตัวเมืองร้อยเอ็ด ช่วยติดต่อเข้ามาหน่อย จะวานให้ไปสืบดูว่า บ้านอาจารย์ที่ว่านี้ยังเก็บกากฟิล์มไว้หรือไม่..ครับ

               ขอบคุณทุกท่านนะครับที่รู้สึกเช่นเดียวกับผม..ผมนั่้นตอนเริ่มสะสมวีดีโอเทปหนังไทยเก่าๆ ก็ไม่รู้หรอกว่า จะมีหนังไทยสูญพันธุ์ไปมากเพราะหลงคิดว่า เจ้าของหนังเขาคงจะเก็บหนังไว้หรือจะมีใครช่วยเก็บไว้บ้าง กระทั่งเมื่อเริ่มค้นหาข้อมูลการฉายหนังไทยในแต่ละปีว่ามีหนังกี่เรื่อง เรื่องอะไรบ้าง และมาไล่ดูว่า หนังไทยเหล่านั้นยังมีอยู่หรือไม่ อยู่ที่ไหนและมีการออกจำหน่ายเป็นวีดีโอเทปหรือไม่ จึงได้ทราบว่า มีหนังไทยประมาณอีก 2 พันกว่าเรื่องที่หายสาบสูญไป ทั้งหนัง 16 มม.และ 35 มม. พอได้เจอเพื่อนๆ ที่มีอุดมการณ์เดียวกันแบบว่า "หนังไทยทุกเรื่อง ต้องมีเหลือให้คนไทยได้ดูกัน" ตอนนั้นแหละครับ พวกเราจึงต้องขวนขวายตามหากากฟิล์มหนังมาฉายดูกัน มาบันทึกภาพไว้ก่อน แม้ว่าบางเรื่องจะได้มาเพียงไม่กี่นาที เราก็ทำเก็บไว้ก่อน..ถ้าเรามองภาพเปิดกระทู้นี้ จะเห็นกระเป๋าใส่ฟิล์มหนัง 16 มม.เรื่อง พระรถเมรี รุ่นไชยา-เพชรา ภาพบนขวาสุด..

               นั่นแหละครับที่เราเห็นหนังยังอยู่ แต่เราก็ไม่อาจจะได้ดูกันเพราะทราบว่า เจ้าของเขายังหวงอยู่ ไม่รู้ว่า ตอนนี้ฟิล์มเสียไปแล้วหรือยัง..แบบนี้แหละครับที่เรียกว่า รอการสูญพันธุ์โดยไม่ตั้งใจ..การตามหากากฟิล์มกรุไหนที่เข้าถึงยากคือ เขายังไม่เต็มใจให้เรานำมาเผยแพร่แบบนี้ เราก็ไม่หยุดนิ่งนะครับ เราจะบอกไปยังคนอีกหลายกลุ่มให้เข้าไปคุยแทนเผื่อว่า เขาจะใจอ่อนกับคนอีกกลุ่มก็ได้..บางครั้งเราก็เหนื่อยครับที่จะต้องมานั่งอธิบายนานๆ ยาวๆ ว่า เราอยากได้ฟิล์มหนังเขามาทำอะไร..ถ้าเขาเล่น facebook ดูยูทูปด้วย เราก็ขอให้เขาไปดูงานที่พวกเราทำก่อน แล้วค่อยตัดสินใจ..ซึ่งเรื่องที่เราเขียนๆไว้ ก็ช่วยได้มากครับ..แต่บางรายที่ไม่ยอมจริงๆ ก็จนใจครับ..

               อย่างเมื่อวานนี้ ผมเปิดยูทูปไปเจอสมาชิกท่านหนึ่งเขียนมาบอกว่า ให้ผมโทรไปหาคนๆหนึ่ง บอกว่า มีฟิล์มหนัง 16 มม.อยากให้ผมไปลองติดต่อดู..ผมก็โทรไป ได้คุยกันแล้ว โชคดีหน่อยครับที่คนๆนั้น (สงวนชื่อไว้ก่อน) เขาเล่นยูทูปและfacebook ผมก็เลยขอให้เขาไปดูก่อนว่า พวกเรานำฟิล์มมาทำอะไรบ้าง สุดท้ายเขาก็บอกรายละเอียดย่่อๆ ว่า พ่อ-แม่เขาเคยฉายหนังกลางแปลง 16 มม.มาตั้งแต่ก่อนรุ่นมิตร ชัยบัญชา พี่สาวกับพี่ชายเป็นนักพากย์ ตอนนี้เหลือแต่พี่สาว.. สมัยนั้นพ่อ-แม่เขาสร้างหนังไทยเรื่องหนึ่ง ตอนนี้ฟิล์มยังอยู่..บริการหนังแห่งนี้จะเรียกว่าเป็นเจ้าแรกๆ ในจังหวัดก็ได้ พ่อแม่เลิกฉายหนังเมื่อปี 2525 แต่ที่เก็บไว้ก็คือ เครื่องฉาย 16 มม.ตัวแรก ภาพถ่ายเก่าๆ ฟิล์มหนัง 16 มม.เรื่องที่สร้างเอง (สงวนชื่อไว้ก่อน) และเขากับพี่สาวยังมีเรื่องเล่าอีกมากมายเกี่ยวกับการฉายหนัง 16 มม.ในยุคนั้นๆ..ตอนนี้ เขากำลังเตรียมข้อมูลไว้ให้เราเข้าไปสัมภาษณ์ครับ ..คิดว่าอีกไม่นาน ตำนานหนังกลางแปลงเจ้าแรกๆของจังหวัด.... จะถูกกลับมานำเสนอให้ทุกท่านได้รับทราบครับ...ว่าแต่งวดนี้ ใครจะไปกับผมบ้างครับ..ไปเช้า-เย็นกลับครับ..

               ลองติดต่อที่พิจิตรดูนะครับ เผื่อว่า จะมีภาพนิ่งหรือกากฟิล์มอะไรเหลือเก็บบ้าง จะได้นำมาเล่าสู่กันฟังหรือฉายแบ่งๆ กันดูได้ครับ เมื่อช่วงหยุดสงกรานต์ หนังที่พวกเราฉายได้ยากที่สุดก็คือ หนังปี 2515 เรื่องนี้ครับ..ถ้าเป็นฟิล์มบิดงอธรรมดาด้านซ้ายหรือขวา ก็ยังพอจะฉายได้ครับ แต่พอฉายมาก็จะเห็นช่องรูหนามเตยด้านขวามือโผล่มาด้วย แต่ถ้าเกิดอาการฟิล์มหดตัวแบบบนไปล่างด้วย ฟิล์มจะวิ่งไม่เข้าเฟื่องเครื่องฉาย ก็จะฉายได้ยากครับ..ภาพนี้เรื่องแรกของทัศน์วรรณ เสนีย์วงศ์ ณ อยุธยา ฉายสดๆ ยังไม่ได้แก้สีครับ


               ส่วนภาพนี้เป็นม้วนจบของเรื่อง แต่ฟิล์มหดตัวด้านซ้ายมือแทน แต่ก็ฉายได้ครับ ฉายมาก็จะเห็นแถบเส้นเสียงหนังที่ด้านซ้ายมือครับ..ภาพนี้คุณเนาวรัตน์ วัชรา กำลังร่ำหน้าศพพ่อ ต้องพยายามฉายให้ได้เพราะไฮไลต์ของเรื่อง..เฉพาะหนังเรื่องนี้ต้องซ่อมฟิล์มไปเกินกว่าครึ่งวันและต้องฉายๆหยุดไปเป็นเกือบร้อยครั้งกว่าจะจบเรื่องได้ครับ..


               ตอนนี้ ผมมีเพื่อนๆ ช่วยกันหลายคนแล้วครับพี่.. ยิ่งช่วยหนัง ก็ยิ่งรู้ว่า หนังไทยตายไปเยอะแล้วครับพี่ แต่ยังไง ถ้ายังมีแรงอยู่ ก็ต้องพยายามกันต่อไปครับพี่ ขอบคุณที่เป็นกำลังใจนะครับ..ขอบคุณคุณRegis Madec ด้วยครับที่พยายามช่วยตามข่าวกรุฟิล์มอุดรฯ ให้ แม้จะถอดใจแล้ว แต่ก็ยังแอบหวังลึกๆ ว่า สักวันหนึ่งเขาอาจจะเปลี่ยนให้เรายืมฟิล์มก็ได้นะครับ.. เผอิญเห็นพี่บุญยวงหรือยวงพร เข้ามาทักทาย ก็เลยอยากบอกเพื่อนๆ ที่ยังไม่ทราบว่า พี่บุญยวงในอดีตก็เคยเป็นนางเอกหนังเหมือนกัน

ลองคลิกอ่านดูตามนี้ครับ..
บทที่ 4 หนึ่งในโครงการภาพยนตร์ไทยคงเหลือ ทางเปลี่ยว (2498 วสันต์-ยวงพร)

https://www.facebook.com/photo.php?fbid=262202393924405&set=o.156185157894883&type=1&theater

               แหละนี่ก็คือ หนังที่พี่บุญยวง แสดงไว้และได้ฟิล์มมาโดยบังเอิญสั้นๆ ครับ..หนึ่งในโครงการภาพยนตร์ไทยคงเหลือ ทางเปลี่ยว ปี 2498 ที่ท่านจะได้ชมกัน...

คลิกดูหนังได้เลยครับ..




บุญยวง หรือ ยวงพร


               หนังเรื่อง ทางเปลี่ยว นั้น ได้ฟิล์มมาแค่นั้นเองครับ ฉายจนหมดฟิล์มแล้ว ส่วนเรื่อง ยมบาลเจ้าขา ที่เพชราเล่นนั้น ได้ฟิล์มมาจบเรื่องครับ หนังไม่มีเสียง ก็ตัดต่อให้ดูพอเป็นแนวทางนะครับ เผื่อว่าวันหน้าเจ้าของเขาคิดจะทำขาย จะได้ไม่เกิดความเสียหายแก่เจ้าของเขาครับ.. ช่วงนี้ กำลังรอฟังข่าวเรื่องกรุฟิล์มต่างจังหวัดที่ฝากคุณเจนฯไปสืบหาข้อมูลครับ เมื่อคืนก็ลุ้นกับเพื่อนๆ ว่า ถ้าเกิดเขายังเก็บอยู่ เราจะไปวันไหนดี...

               ต้องขอโทษด้วยครับคุณเจษฎากร อัครทรัพย์สกุล อย่างน้อยๆ ก็เกรงใจเจ้าของหนังเขานะครับ ที่ผมนำมาลงๆ ให้ดูนี้ก็หวังเพื่อจะช่วยกระตุ้น ช่วยประชาสัมพันธ์ให้คนอยากดูหนังไทยเก่าๆ มากกว่านี้และถ้ามีกระแสมากขึ้นเมื่อไร ก็อาจจะมีผู้ผลิตออกมาจำหน่ายนะครับ..

หนึ่งในโครงการภาพยนตร์ไทยคงเหลือ ขอโทษทีที่รัก (2527 สุรชัย-พุ่มพวง-นันทิดา)


               คุณเจน อักษราพิจารณ์ ส่งข่าวเรื่อง กรุฟิล์มร้อยเอ็ดมาแล้วในกล่องข้อความครับ อยู่ระหว่างการสืบค้นหาอยู่ครับ เห็นว่า บางทีคุณเจนจะไปสืบค้นเองด้วย แถมยังบอกว่า มีข่าวเรื่องฟิล์มหนังไทย 16 มม.เรื่องสำคัญด้วยครับ เป็นหนังที่ผมฟังชื่อแล้วก็ดีใจครับ ถ้าเป็นไปตามข่าวว่า ยังมีคนเก็บฟิล์มไว้ ไม่ว่าจะเป็นรุ่นแรกหรือรุ่นที่ 2 ที่มิตร ชัยบัญชา เล่นไว้ ก็ได้ทั้งนั้นครับ..คุณเจนบอกว่า จะไปหาข่าวต่อ แล้วจะแจ้งให้ทราบอีกที..ครับ

               ครับ กรุที่อุดรหนังขายยานั้น คิดว่า หมดหวังแล้วครับ..แต่กรุร้อยเอ็ดนั้น กำลังหาทางเข้าบ้านอยู่ว่าจะยังอยู่ที่เดิมหรือไม่ (ข้อมูลเดิมปี 2546 ที่ผมไปครั้งสุดท้าย) แต่ที่ตื่นเต้นกว่านั้นคือ คุณเจนบอกว่า ทราบว่ายังมีคนเก็บฟิล์มหนังระดับสำคัญๆ มากๆ ซึ่งผมก็ไม่แน่ใจว่าจะเป็นรุ่นไหน ถ้าเป็นรุ่นแรกก็นับว่า บุญของชาติจริงๆ ที่เจอหนังเรื่องนี้ แต่ถ้าเป็นรุ่นที่ 2 ก็ยังดีอีกเพราะพระเอกเป็น มิตร ชัยบัญชา..รุ่นไหนก็ได้ ขอให้แต่เจอเถอะ คุณเจนบอกว่าจะลงไปสืบข่าวด้วยตัวเองครับ..

               มีทายกันมาแล้วครับว่า สาวเครือฟ้า..ท่านอื่นจะว่าอย่างไรครับ ผมเองนั้น ขอให้เป็นหนังไทยเก่าๆ อะไรก็ได้ ยินดีช่วยทุกเรื่องอยู่แล้ว แต่ถ้าเป็น สาวเครือฟ้า จริงๆ ก็เยี่ยมเลยครับ.. ส่วนกระเป๋าฟิล์ม พระรถเมรี นั้น ผมเองก็เสียดายยิ่งกว่าเสียดายครับที่ไม่มีโอกาสได้ช่วยหนังเรื่องนี้และเรื่องอื่นๆ จากกรุนี้ครับ..ตอนนี้ก็ตั้งหน้าตั้งตารอข่าวจากกรุร้อยเอ็ดกันครับว่า จะออกหัวหรือก้อย..

               ขอบคุณทุกท่านที่ทั้งเอาใจช่วยและช่วยประสานงานในการตามหากากฟิล์มหนังไทยเก่าๆ นะครับ..ก็อย่างที่คุณSitha Yoothong เล่ามานั้น ก็คล้ายๆ กับผมและเพื่อนๆ อีกหลายคนที่ตามหาหนังไทยเก่าๆ ในวันนี้ มันก็คล้ายๆ กับว่า เรากำลังตามหาร่องรอยในวัยเด็กหรืออดีตของเราเมื่อครั้งที่ได้ดูหนังเรื่องนั้นเรื่องนี้ในครั้งแรก..นึกถึงชื่อหนัง ก็นึกถึงอดีตว่า ตอนนั้นเราได้ดูที่ไหน เราไปกับใคร เราเห็นอะไรรอบๆ ตัวบ้างในอดีต มันเป็นการทบทวนความจำที่ทำให้มีความสุขมากครับ..

               บางเรื่องก็ยังนึกถึงว่า ระหว่างดูนั้น หนังก็ขาด คนก็โห่ด้วย..มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ผมดูตอนเด็กๆ ตอนนั้น ร้านซ่อมวิทยุของช่างชื่อบุญธรรม เขาขึ้นบ้านใหม่คือเปิดร้านใหม่นะครับ เขาก็เลยนำเครื่องฉายหนัง 16 มม.กับจอหนังเล็กๆ มาตั้งฉายหนังให้ชาวบ้านดูข้างๆ บ้าน ผมก็ไปดูด้วย เขาฉายหนังมิตร ชัยบัญชา เป็นหนังเกี่ยวกับอภินิหาร มีหายตัวได้ คล้ายๆ เรื่อง จ้าวหญิงนกกระจาบ..แต่ตอนนั้นเราเด็กมาก ก็เลยจำชื่อเรื่องไม่ได้ ฉายไปได้ไม่นาน หลอดเครื่องฉายขาด..เขาก็ขับมอเตอร์ไซด์ไปหายืมหลอดจากหน่วยฉายในเมืองสุรินทร์ ก็ไม่มีให้ยืม..ก็กลับมาประกาศเลิกฉายหนังเพราะสมัยนั้นหลอดฉายเครื่อง 16 มม.ต้องไปหาที่โคราชครับ..ก็เลยอดดู..และตั้งแต่นั้นมาคำว่า หลอดขาด ก็เป็นอะไรที่ผมกลัวมากๆ เวลาฉายหนังครับคือ กลัวอดดู..

               มาต่อที่เรื่องการบันทึกเทปเวลาไปหากากฟิล์มหนังนั้น สมัยก่อนที่ผมไปกับคุณโต๊ะ พันธมิตร แกจะบอกว่า อย่าถ่ายรูปนะ ไม่อยากให้ใครรู้ว่า เราไปหาฟิล์มหนังกันกระทั่งระยะหลังๆ ถึงได้ยอมให้ถ่ายรูปได้..เสียดายช่วงแรกๆ ที่ไปพูดคุยกับคนฉายหนังคนพากย์หนัง 16 มม.ตามต่างจังหวัด เขามีเรื่องเล่าเยอะมากๆ ผมก็ได้แต่จำมาเล่าต่อเท่านั้น.. คิดว่า ตอนนี้การตามหากากฟิล์มอาจต้องใช้มวลชนเป็นแรงสนับสนุนด้วยครับเพราะถ้าคนที่เก็บฟิล์มไว้ เขาเล่น facebook เราก็ยังบอกให้เขามาดู facebook เราก่อนได้ว่า เรานำฟิล์มมาทำอะไรบ้าง..แต่ถ้าเขาไม่เล่นแล้ว ก็เรื่องยาวหน่อยครับ จะต้องอธิบายการทำงานอีกนาน ไม่งั้นคงไม่ได้ฟิล์มมา หลังๆ ก็เลยไปเป็นขบวนอย่างที่เห็นๆ ใจจริงหนึ่งในนั้นก็อยาก คุณ Regis Madec ร่วมทางไปด้วยเพราะความเป็นฝรั่งที่สนใจหนังไทยเก่าๆ จะช่วยดึงดูดให้คนไทยตระหนักถึงมรดกวัฒนธรรมของตนเองมากขึ้นด้วยเพราะ.. คนไทยพูดถึงหนังไทย ก็ดูธรรมดา แต่ถ้าฝรั่งพูด ฝรั่งเขียนอะไรเกี่ยวกับหนังไทยแล้ว จะมีคนไทยอีกกลุ่มใหญ่ๆ หันมาสนใจมากขึ้น เชื่อผมไหมครับ..

               ผมขอแจ้งความคืิบหน้าเรื่องฟิล์มหนังที่คุณเจน อักษราพิจารณ์ ติดตามให้นะครับ สำหรับกรณีฟิล์มหนังของลุงขาลจิตรที่ยังเก็บไว้นั้น เมื่อคืนนี้ พอผมกลับจากบ้านคุณนุฯ ก็เปิดกล่องข้อความดู พบว่า คุณเจนให้รายละเอียดตัวบุคคลและสถานที่ที่ชัดเจนมากขึ้น..และบอกว่า อาจจะลงพื้นที่ไปสำรวจเองหลังวันที่ 10 พฤษภาคม..และให้ผมลองหาคนขอนแก่นช่วยเช็คข่าวนี้ด้วย ผมก็ติดต่อคุณSurapol Wiangwong เพราะท่านอยู่ขอนแก่น ท่านมีตำแหน่งและมีกิจกรรมที่ออกพบปะชาวบ้านอยู่เป็นประจำ..ผมก็เลยนำเรื่องราวทั้งหมดที่คุณเจนบอกมานั้นไปขอความช่วยเหลือจากท่าน.. และเมื่อสักครู่ท่านก็ตอบมาในกล่องข้อความครับ..ท่านบอกว่า เคยเห็นลุงขาลจิตรคนนี้ด้วย เคยไปดูลุงขาลจิตรซ้อมหนังก่อนไปฉายด้วย และที่สำคัญชื่อหมู่บ้านที่คุณเจนบอกไว้นั้น ก็เป็นหมู่บ้านเกิดของท่านด้วยและบอกว่า จะช่วยติดตามให้ด้วยครับ.. ฟังแล้วขนลุกครับ..นี่ขนาดยังไม่รู้ว่า ญาติเขาจะยังเก็บฟิล์มไว้หรือไม่ ถ้าเก็บ ฟิล์มจะเป็นอย่างไรบ้าง..ตื่นเต้นครับ..จึงรีบแจ้งให้เพื่อนๆ ทราบก่อนครับ..

               ครับ..คิดว่า ตอนนี้เพื่อนๆหลายคนก็กำลังรอลุ้น รอฟังข่าวจากคุณ Surapol Wiangwong กันอย่างใจจดใจจ่อนะครับ..ส่วนเรื่อง จ้าวหญิงนกกระจาบ ที่ผมกล่าวถึงข้างต้นและคุณRegis Madec ฝรั่งที่ชอบหนังไทยเก่าๆ พูดถึงด้วยนั้น ผมเองก็อยากเจอครับเพราะยังดูไม่จบตั้งแต่เด็กๆ ไม่รู้ว่าตอนนี้จะยังมีฟิล์มเหลือหรือไม่..อ่านข้อความที่คุณ Regis เขียนแล้วก็งงๆ นะครับ ก็เหมือนฝรั่งพูดไทยบางครั้งก็พูดสลับคำกัน ก็ต้องพยายามแปลความหมายในใจฝรั่งให้ได้นะครับ..ตัวเลขที่เราเห็นๆ ว่า facebook ชุมทางหนังไทยในอดีต นี้มีสมาชิก 3 พันกว่าคนนั้น คงเป็นเพียงตัวเลขนะครับเพราะบางท่านตั้งแต่ขอเข้ากลุ่มมา ก็ไม่รู้ว่าจะเข้ามาดูอีกหรือเปล่า ไม่เห็นเคยคอมเม้นท์อะไร หรือว่าจะแอบดูเฉยๆ.. บางท่านก็เข้ามาขายของต่างๆ.. ส่วนสมาชิกในเว็บยูทูปนั้นก็มีอยู่ 2,500 คนซึ่งบางคนก็เป็นสมาชิกใน facebook ด้วย..แต่ที่เว็บยูทูปดีหน่อยครับ เขามีสถิติตัวเลขการเข้าดูหนังไว้..ก็เลยทำให้รู้ว่าตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้มีคนเข้ามาดูหนังไทยเก่าๆ ของเราไป 2 ล้าน 9 แสนครั้งแล้ว..หนังไทยเก่าอาจจะไม่ตายอย่างที่ คุณRegis บอกไว้ แต่จะตายก็เพราะดูแล้วเงียบๆ นี่ซิครับ..เพราะทุกวันนี้อะไรก็ต้องการกระแสทั้งนั้น พอมีกระแส ก็เห็นคนโหนกระแสกันเกร่อ..พอหมดกระแส แรงก็ตกไปด้วย.. ตอนนี้ ผมกำลังคิดว่า ถ้ากรณีฟิล์มของลุงขาลจิตรยังมีอยู่จริง..นอกจากตัวฟิล์มแล้ว ผมยังได้เรื่องราวในอดีตการฉายหนังของลุงขาลจิตรมาถ่ายทอดให้เพื่อนๆ ได้ฟังด้วย..ไม่รู้ว่าภริยาของลุงขาลจิตรเอง จะพอให้ข้อมูลได้หรือไม่..หรือถ้าหากกรณีพลิกล็อก เราจะทำอย่างไรที่จะให้เรื่องราวการฉายหนังของลุงขาลจิตรนี้ได้ถูกบันทึกไว้ด้วย..ในความรู้สึกของผมแล้ว ผมอยากจะหาเวลาตระเวนไปถามไถ่ ไปพูดคุยกับคนฉายหนังกลางแปลง หนังขายยาโดยเฉพาะในยุค 16 มม.หลายๆ ที่ อยากจะเก็บข้อมูลเหล่านี้ไว้..ถ้าสังเกตการเขียนของผมมักจะพูดอยู่เสมอว่า หนัง 16 มม.พากย์สดๆ ถ้าเป็นหนัง 35 มม.ก็จะบอกว่า พากย์เสียงในฟิล์ม..ทุกอย่างมีความหมาย..ทำไมหนัง 16 มม.เมืองไทยถึงได้อยู่ยงคงกระพันอย่างยาวนาน ทั้งๆที่ฝรั่งบอกว่าเป็นฟิล์มไม่มาตรฐาน..แต่ครองใจคนยุคนั้นมากๆ

               นั่งไป ตอนนี้ก็คิดเล่นๆ แล้วว่า เราจะพากันไปขอนแก่นวันไหนดีหนอ..แล้วคนที่รู้เรื่องราวการฉายหนังของลุงขาลจิตร ชนิดที่ว่าเล่าแทนกันได้ พอจะมีบ้างไหม..จะได้ไปขอฟังเรื่องเหล่านั้นมาถ่ายทอดให้เพื่อนๆ ได้ฟังบ้าง..ถ้ามีฟิล์มหนังเหลือบ้าง จะน้อยจะมาก ก็ขอให้เหลือเถอะ..แต่ยังไงๆ ก็ยังอยากให้มีเรื่องเล่าถึงประวัติการฉายหนังของลุงขาลจิตรมาประกอบด้วย ใจก็อยากรู้ว่า ตั้งแต่เปิดบริการขาลจิตรภาพยนตร์มานั้น ลุงเคยฉายหนังไทยเรื่องอะไรบ้าง เอาแบบที่ว่า ฮิตที่สุดในบริการนั่นแหละ..หนังสมัยนั้นต้องพากย์สดๆ ด้วย ใครล่ะที่เป็นนักพากย์..อยากรู้ครับ..

               ขอบคุณ คุณSurapol Wiangwong มากๆ ครับ และขอบคุณเพื่อนๆทุกคนที่คอยลุ้น..ผมเองชอบฟังเรื่องเล่าเกี่ยวกับอดีตของหนังอย่างที่คุณสุรพลเล่ามาแบบนี้แหละครับ คิดว่า ถ้าเป็นไปได้ช่วงต้นๆเดือนพฤษภาคมนี้ มีวันหยุดหลายครั้ง เราน่าจะได้ลงพื้นที่กันนะครับ..อยากไปเก็บข้อมูล เก็บเรื่องเล่าต่างๆ แบบนี้แหละครับ.

               แต่ก่อนนั้น การหาฟิล์มหนังไทยเ่ก่าๆ จะมีปัญหาตรงที่ว่า คนเก็บฟิล์มนั้น เขาเก็บมาช้านาน เก็บไว้เพราะรักเพราะหวง ครั้นจะให้พวกเรายืมมากรุงเทพฯง่ายๆ ก็ดูกระไรอยู่ ยิ่งไม่รู้จักกันด้วยหรือถ้าไม่มีใครรับรอง ค้ำประกันให้ ก็ยากที่จะเจรจาได้สำเร็จโดยง่าย..ยิ่งถ้าเราไปเจอคนเก็บฟิล์มที่ยังไงๆ เขาก็ไม่ยอมให้นำฟิล์มออกจากบ้านเขาเลย..เราจะทำอย่างไร.. แต่ก่อนก็งงๆ คิดไม่ออกหรอกครับ แต่ว่าตอนหลังนี้ เราแก้ปัญหาได้แล้วเพราะเราต้องเข้าใจเจ้าของเขาด้วย ดังนั้น จึงเกิดกรณีการนำเครื่องฉายหนัง 16 มม.และกล้องวีดีโอติดตัวไปพร้อม พอคุยกันเข้าใจ ก็ขอฉายเลยครับ พูดง่ายๆ ก็คือ ไปขอฉายและอัดวีดีโอที่บ้านเขานั่นแหละ เจ้าของฟิล์มจะได้ไม่ต้องกังวลใจอะไรครับ..

               ถ้าเป็นเรื่องเพลงจากหนังไทยเก่าๆ แล้ว น้องเมืองไทย ภัทรถาวงศ์..ร่วมมือครับคุณเจนภพ จบกระบวนวรรณ สร้างสรรขึ้นมาครับ เห็นว่ามีลงให้ฟังแทบทุกวันที่หน้าเฟสบุ๊กของน้องเมืองไทยนะครับ.. ส่วนเรื่องตามหาฟิล์มหนังนั้น ตอนนี้ยังไม่มีข่าวคืบหน้าครับ..
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05 พฤษภาคม 2014, 20:08:36 โดย นายเค »
สรพงษ์ ลิ้มทองคำ
5 หมู่ 7 ต.คลองตาคต อ.โพธาราม ราชบุรี 70120    E-Mail soraphol@hotmail.com
ธ.กรุงเทพ ออมทรัพย์ สาขา อาคารยาคูลท์ สนามเป้า   หมายเลขบัญชี  210-036236-3
ธ.ไทยพาณิชย์  ออมทรัพย์ สาขา บางเขน   หมายเลขบัญชี  041-273435-0
ติดต่อ 0909040355

ชมรมรักหนังกางแปลง โพธาราม ราชบุรี เรามาคุยกันได

ออฟไลน์ นายเค

  • Thaicine Movie Team
  • Moderator
  • พี่น้อง thaicine Gold member
  • ***
  • กระทู้: 3814
  • พลังใจที่มี 616
  • เพศ: ชาย
               พอถึงช่วงวันหยุดยาวติดๆ กันทีไร..สังเกตว่า เพื่อนฝูงใน facebook เรา ก็เงียบเหงา หายหน้าไปเที่ยวไปธุระกันหมด..หน้ากระดานก็หงอยๆไป ทีแรกผมกับคุณนุฯ ก็คิดๆ ว่า เราอาจจะได้เดินทางไปขอนแก่นหรือร้อยเอ็ด ไปตามหาฟิล์มหนังไทยเก่าๆ กัน แต่ว่าข่าวยังไม่แน่นอน.. เราก็เลยเปลี่ยนแผนกะทันหันเป็นว่า วันอาทิตย์ที่จะถึงนี้ เราจะนำฟิล์มที่ยืมมาไปส่งคืน อ.มนูญ ที่บ้านโป่ง ราชบุรีก่อน..ก็โทรนัด อ.มนูญและคุณฉัตรชัยไว้แล้ว..เห็นว่าจะมีฟิล์มเศษๆ สั้นๆ มาให้ทำภาพอีกนิดหน่อย..

              เมื่อวานนี้ค่ำๆ อ.จรัส ที่สงขลา โทรมาบอกว่า เจอฟิล์ม 16 มม.ม้วนหนึ่ง ยังไม่รู้ว่าเป็นเรื่องอะไร พอส่องฟิล์มดูแล้วเห็นว่า เป็นเพชรา และก็มี ธานินทร์ อินทรเทพ ด้วย..ก็เลยส่งข่าวให้ผมทราบก่อน.. ส่วนแหล่งข่าวฟิล์มที่จังหวัดบุรีรัมย์ที่ผมคิดๆ จะไปนั้น เมื่อวานนี้ตอนเที่ยง ก็โทรคุยกันแล้ว ยังไม่มีรายละเอียดอะไรเพิ่มขึ้น คุยกันไปคุยกันมาก็เลยออกปากบ่นๆ กันว่า ทำไมฟิล์มหนังไทยเก่าๆ มันถึงได้หายากจริงๆ ครับ..

              พอผมบอกว่า กำลังรอแหล่งข่าวจากจังหวัดร้อยเอ็ดอีกแห่งหนึ่ง คนบุรีรัมย์คนนั้นก็เลยเล่าถึงว่า ที่จังหวัดร้อยเอ็ดเคยมีใครเคยฉายหนัง 16 มม.บ้าง เอ่ยชื่อมาเสร็จสรรพ แต่ก็ลงท้ายกันว่า แล้วพวกเขาจะยังอยู่หรือไม่..ขนาดเจ้าสุดท้ายนี้ มีแต่ฟิล์ม 34 มม.ที่ผมกับคุณโต๊ะพันธมิตร เข้าไปหาเมื่อปี 2546 ตอนนี้ก็ยังติดต่อไม่ได้ หาบ้านไม่เจอ ถ้าเจอแล้ว เขาจะยังเก็บฟิล์มไว้หรือไม่..แต่ยังไงก็ต้องรอฟังข่าวจากคุณเจนฯ อีกครั้งว่า จะหาบ้านพบหรือไม่.. ส่วนฟิล์มของลุงขาลจิตร ที่ขอนแก่นนั้น ตอนนี้คุณSurapol Wiangwong กลับจากดูงานต่างจังหวัดแล้ว คงจะมีข่าวคืบหน้าให้ทราบ..ช่วงอาทิตย์หน้ามีวันหยุดเยอะ พวกเราอาจจะได้ไปขอนแก่นกันครับ..


              ขอบคุณ คุณSurapol Wiangwong คุณเจน อักษราพิจารณ์ และผู้เกี่ยวข้องทุกท่านที่ช่วยประสานงานเรื่องฟิล์มหนังครั้งนี้ให้นะครับ แม้ว่าตอนนี้ เราจะยังไม่ทราบว่า ฟิล์มได้เก็บอยู่ที่ไหนกันแน่ แต่อย่างน้อยๆ เราก็ยังมีเบาะแส และมีเรื่องเล่าในอดีตให้พวกเราได้ไปเสาะแสวงหากัน คาดว่า พวกเรา (ซึ่งตอนนี้มีว่างเพียง 2 คนคือผมกับคุณนุ) จะได้ลงพื้นไปเก็บข้อมูล ไปเก็บเรื่องเล่ามาฝากเพื่อนๆ ตอนนี้ รอคุณเจนเรื่องกรุฟิล์มร้อยเอ็ดอีกนิดเพราะถ้าเป็นไปได้ คิดว่า ช่วงวันหยุดยาวนี้ คงต้องลงไปแล้วครับ วิ่งวนๆ 3 จังหวัดคือ ขอนแก่น-มหาสารคาม-ร้อยเอ็ด ที่ขอนแก่นนั้น เราต้องไปรับกากฟิล์ม 35 มม.จากคุณโอเทพมงคล หจก. ส. ธรรมสุจริต ที่เตรียมไว้ให้นานแล้ว เป็นหนังที่ฟิล์มกำลังจะเสื่อมสภาพ คุณโอบอกว่า กลัวฟิล์มจะตายก่อนได้ทำภาพ ก็เลยให้พวกเราไปรับฟิล์มด้วย..

              ส่วนหนัง 16 มม.ที่จะไปตามนั้น ดูรูปการณ์แล้ว คงยากที่จะได้ฟิล์มหนังกลับมา เราคงต้องติดเครื่องฉายหนังสำรองไปด้วย ปะเหมาะเคราะห์ดี เราอาจได้ฉายหนังทำภาพกลับมาด้วย..เมื่อวานลองคุยกับรถเช่าที่เป็นรถปิ๊กอัพแล้ว แต่ตกลงราคากันไม่ได้เพราะสถานที่ที่เราไปนั้น ยังไม่แน่นอน เขาคำนวณระยะทาง คำนวนค่าใช้จ่ายไม่ได้ ครั้นจะให้เราเหมาไป ราคาที่บอกมาก็สูงเกินกว่าการเช่ารถตู้ทั่วไป ก็เลยต้องหารถกันใหม่.. ทุกครั้งที่พวกเราไปนั้น จะเหมารถตู้ไป เขาก็คิดเป็นค่าตัววันละ 1,500-2,000 บาท แล้วแต่ว่า เส้นทางจะเป็นอย่างไร ส่วนน้ำมันนั้นเราเติมเองจ่ายเอง..

              แต่ครั้งนี้ ที่เราลองหารถปิ๊กอัพดูก็เพราะต้องการพื้นที่ไปใส่กระเป๋าฟิล์ม 35 มม.ด้วย ก็เลยมีปัญหานิดหน่อย..เดี๋ยววันนี้จะไปบ้านคุณนุ จะคิดกันอีกทีว่าจะทำอย่างไรดี..ส่วนเรื่องกากฟิล์มหนังที่ อ.จรัส สงขลา แจ้งมานั้น ตอนนี้ คุณอานนท์เธียเตอร์ ได้เช็คดูภาพจากฟิล์มแล้ว บอกว่า เป็นหนังมิตร-เพชรา เรื่อง ตำหนักเพชร ซึ่งพวกเรายังไม่มีหนัง คุณอานนท์ก็เลยไปขอยืมจากเจ้าของฟิล์มตามรูปภาพข้างล่างนี้ เห็นบอกว่า จะยืมมาให้ผมมาทำภาพเก็บไว้ก่อนครับคุณ Regis Madec ซึ่งตามปกติฟิล์มม้วนนี้ เจ้าของเขาให้ร้านค้าร้านหนึ่งยืมไปประดับร้านนะครับ พอ อ.จรัส ไปเจอก็รีบบอกคุณอานนท์ให้ไปช่วยดู ช่วยเจรจาให้นะครับ..



              รายงานความคืบหน้า... เมื่อวานนี้..ผมหารถที่จะเดินทางไปตามรอยอดีตของหนังไทยได้แล้วครับ ก็เป็นรถตู้คันที่เคยพาพวกเราไปวัดบ้านดง ไปหาฟิล์ม ชุมทางหาดใหญ่ คันเดิมนั่นแหละครับ พอผมโทรไปหาพี่เขา บอกว่า จะพาไปหาหนัง ไปฉายหนังเหมือนที่วัดบ้านดงอีกครั้ง พี่ว่างหรือเปล่า..พี่เขาก็บอกว่า วันที่ที่เราจะไปนั้น เขามีงานแล้ว ผมก็เลยขอให้พี่เขาแนะนำรถคันอื่นๆ ให้ด้วย เขาก็บอกว่า รอเดี๋ยว เดี๋ยวจะไปขอสลับงานกับเพื่อนให้.. แล้วอีกสักครึ่งชั่วโมง พี่เขาก็โทรมาบอกว่า เรียบร้อยแล้วครับ แล้วก็นัดเวลาขึ้นรถ.. ครั้งนี้ รถจะออกจากบ้านคุณนุเพราะคุณนุฯ จะเอาเครื่องฉายหนัง 16 มม.ที่เพิ่งได้มาจากคุณฉัตรชัย ไทยซีเน ติดรถไปด้วย เผื่อๆ ไว้นะครับ..ว่าแต่ว่า ตอนนี้มีไปกันเพียง 2 คนเองครับ..

              ครับ ตอนนี้ ได้คุณเจนมาช่วยเช็คแหล่งข่าวอีก ก็ทำให้การเดินทางไปครั้งนี้คงจะมีอะไรติดมือมาฝากเพื่อนๆ บ้างล่ะครับ..ส่วนเรื่อง ตำหนักเพชร นั้น ผมยังไม่ได้ติดต่อคุณอานนท์ เลยครับ ตอนนี้ใจมุ่งไปแต่อีสานก่อนครับ..ไปครั้งนี้เหมือนไปตระเวนครับเพราะจะใช้วิธีวิ่งรถวนไป-และอ้อมกลับมากรุงเทพฯ..หากเจอแหล่งข้อมูลข้างทาง ก็จะแวะจอดถามไถ่ครับ..งวดนี้ ตามหาทั้งหนัง 16 มม.และ 35 มม. ถ้า Maxkie Mitt ว่าง ก็ไปด้วยกันนะครับ ตอนนี้ มีเพิ่มเป็น 3 คนแล้วครับ..

              บ่ายแก่ๆ ที่ผ่านมา คุณเจน อักษราพิจารณ์ ส่งข่าวเข้ามาแล้วครับว่า คุณเจนได้เข้าไปที่บ้านภรรยาของลุงขาลจิตแล้ว แต่ยังไม่มีข้อมูลอะไรเพิ่มเติม..นี่ก็ว่าจะไปช่วยสืบๆ ให้อีกแถวๆ อำเภอวาปีปทุม..ครับ ผมและเพื่อนๆ ก็ต้องขอบคุณคุณเจนมากๆ ครับที่่ช่วยตามข่าวหาแหล่งเก็บกากฟิล์มและแจ้งให้ทราบ.. สำหรับ ผมและเพื่อนอีก 2 คน มาถึงขณะนี้แล้ว ยังไงก็คงจะเดินทางไปตามรอย สาวเครือฟ้า..สาวเหนือที่หลงหายมาอยู่อีสานหลายสิบปีเหมือนเดิมครับ แม้ข่าวคราวดูจะมืดมิดไปบ้าง แต่อย่างน้อยๆ ก็เผื่อว่า จะมีร่องรอยของ สาวเครือฟ้า มาเล่าสู่กันฟังบ้าง..ครับ

              ผมก็ยังไม่รู้ว่า จะเป็นรุ่นไหนครับ แต่คนฉายหนังนั้นเพิ่งตายไปเมื่อ 5 เดือนที่แล้ว ขณะนี้มีอายุประมาณ 71 ปีครับ..แต่ก็นั่นแหละเรื่องฟิล์มหนังเรื่องนี้ยังเป็นที่สงสัยอยู่ว่า จะยังอยู่หรือไม่เพราะต่างฝ่ายต่างบอกว่า อยู่กับอีกฝ่าย..จึงต้องลงไปพิสูจน์ความจริงกันครับคุณ Regis Madec

              พรุ่งนี้แล้ว ก็จะถึงกำหนดเดินทางไปตามรอย "สาวเครือฟ้า" กันแล้วนะครับ..วันนี้ ช่วงเช้าๆ ผมก็โทรศัพท์ติดต่อไปยังคุณครูท่านหนึ่งที่คุณเจน อักษราพิจารณ์ ให้เบอร์ไว้สำหรับการพาเข้าไปถึงบ้านของภริยาของลุงขาลจิต.. แต่พอคุยกันได้สักพักจึงรู้ว่า คุณครูท่านนี้จะไม่อยู่วันพรุ่งนี้เพราะติดงานที่อำเภออื่นก่อน แต่ผมก็ได้สอบถามเส้นทางคร่าวๆ ไว้แล้วครับว่า จุดสังเกตุอยู่ตรงไหน..แต่ก็ยังหวาดๆ ว่า พวกเราที่ไปกันนั้น ก็มีแต่ผู้ชายล้วนๆ กลัวว่าภริยาลุงขาลจิตจะไม่สะดวกในการพูดคุยนัก ก็เลยลองโทรไปชวนคุณแตง โปสเตอร์ เผื่อว่าจะร่วมเดินทางไปได้ แต่คุณแตงก็ติดงานอื่นแล้ว.. เป็นอันว่า งวดนี้คงไปกันแต่ชายล้วนๆ 3 คนแล้วครับ.. แต่สิ่งหนึ่งที่ผมได้ข้อมูลมาจากคุณครูท่านนั้นก็คือ พอถามว่า พอจะรู้จักใครสักคนที่เคยร่วมฉายหนังกับลุงขาลจิตบ้างไหม (เพราะคุณครูท่านนี้บอกว่า เคยดูหนังกลางแปลงลุงขาลจิตด้วย แต่ตอนนั้นเด็กมากๆ) คุณครูท่านนั้นก็บอกว่า ให้ผมไปหาอาจารย์อีกคนหนึ่งซึ่งตอนนี้เกษียณอายุแล้ว อยู่บ้านใกล้ๆ กัน อาจารย์ท่านนี้เคยฉายหนังกับลุงขาลจิต เคยช่วยพากย์หนังด้วย คงมีเรื่องเล่าได้..พอประเมินคร่าวๆ ว่า เราจะได้ข้อมูลจากภริยาลุงขาลจิตรบวกกับข้อมูลจากปากอาจารย์ท่านนี้ ก็อาจจะสืบสาวไปถึง สาวเครือฟ้า ได้บ้างนะครับ..

              ดังนั้น พรุ่งนี้ เป้าหมายแรกที่พวกเราจะเดินทางไปก่อนก็คือ ไปบ้านภริยาลุงขาลจิตและอาจารย์ท่านนี้.. เสร็จจากการพูดคุยกันแล้ว ก็จะต้องออกรถเข้าไปตัวเมืองขอนแก่น ไปหาคุณโอเทพมงคลหจก. ส. ธรรมสุจริต เห็นบอกว่า คืนนั้นมีคิวฉายหนังขายยาอยู่ด้วย ก็จะถือโอกาสเก็บภาพบรรยากาศมาฝากเพื่อนๆ และจะพักค้างคืนที่ขอนแก่น.. ก่อนที่เช้าวันรุ่งขึ้น พวกเราจะตื่นมาฟังข่าวคราวคืบหน้าจากคุณเจนฯ อีกครั้งว่า เราจะไปลุยต่อกันที่ อ.วาปีปทุมฯ หรือไป ร้อยเอ็ด กันครับ..


            ตามปกติ คืนวันเสาร์แบบนี้ หากผมไม่มีนัดไปไหน ก็จะต้องแวะไปคุยกับเพื่อนๆ ที่คลองถม..เมื่อสักครู่ก็ลองโทรไปหาพี่แต๋วจึงรู้ว่า คืนนี้ที่คลองถมมีเพื่อนๆ ไปหลายคน เช่น Maxkie Mitt หทัยชนก มงคล แตง โปสเตอร์ Petcharada Kriengkraipetch.. และกำลังตามมาอีกหลายคน แต่อีกคนที่มาไม่ได้ก็คงเป็นคุณนุ ประเดิม สง่าแสง เพราะกว่าจะเลิกงาน ก็ดึกแล้ว เพื่อนๆ คงกลับหมด..คุณนุฯต้องรีบมาจัดของเพื่อเตรียมเดินทางไปตามรอย สาวเครือฟ้า กันวันพรุ่งนี้.. รถตู้จะเข้าไปรับคุณนุฯก่อนเกือบ 6 โมงเช้า.. แล้วค่อยมารับผมกับเพื่อนอีกคนที่นนทบุรี..จากนั้นก็ม่งตรงสู่มหาสารคาม..เปิดตัวด้วยระยะทางประมาณ 440 กิโลเมตรก่อน... ขอบคุณทุกท่านที่เป็นแรงใจในการเดินทางครั้งนี้.. ล่าสุดต้องขอขอบคุณฝรั่งใจดีที่รักหนังไทยมากๆ คือคุณRegis Madec ที่เพิ่งเข้ามาบอกในกล่องข้อความว่า ได้โอนเงินช่วยเหลือการตามรอยหนังเก่าครั้งนี้ด้วยแล้ว.. ขอบคุณครับ คิดว่า สักวันหนึ่งคุณRegis ก็คงจะเดินมีโอกาสเดินทางร่วมกับเราบ้างนะครับ...

ทายกันสนุกเลยนะครับ.. เดี๋ยวผมขอแทรกรายงานความคืบหน้าการออกตามหา สาวเครือฟ้า กันนิดหน่อยนะครับ.. จุดเริ่มต้น
1) จากกรุงเทพฯ มุ่งหน้า อ.บรบือ จ.มหาสารคาม ไปหา สาวเครือฟ้า มีเทปพูดคุยมาฝาก..
2) จากนั้นไปดู หนังขายยาของคุณโอ เทพมงคล หจก. ส. ธรรมสุจริต ที่ศาลเจ้าพ่อมอดินแดง ขอนแก่น..ก่อนกลับก็ขอยืมฟิล์มหนังจากคุณโอ เทพมงคล มาประมาณ 20 รายการ จำนวน 62 ม้วน..
3) คุณโอพาไปพูดคุยกับ เปี๊ยก มรกต แก้วธานี ผู้กำกับโคตรสู้ โคตรโส เรื่อง ตำนานเกิดมาลุย มีเทปพูดคุยมาฝาก..
4) จากนั้นแวะไปเยี่ยม กิม ศุภวิทย์ Kim Zaa หนึ่งในสตั้นแมนหนังพันนา ฤทธิไกร ก็มีเทปพูดคุยมาฝากเช่นกัน..
5) สุดท้าย ก็สุ่มๆ ลองไปหากากฟิล์มหนังที่ร้อยเอ็ด ไปแบบไม่คิดว่าจะเจอ แต่ก็เจอครับ ไ้ด้สัมภาษณ์พูดคุยเรื่องโรงหนังและขอยืมฟิล์มหนังไทยเก่าๆ มา 20 รายการ จำนวน 92 ม้วน.. 


            ตอนนี้ก็เร่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นตัดต่อเทปสัมภาษณ์ต่างๆ และเร่งเช็คทำความสะอาดฟิล์ม จะรีบฉายและรีบนำกลับไปคืนเจ้าของเขาครับ.. ทุกอย่างจะทยอยนำเสนอเป็นเรื่องๆไปครับ... ป.ล.ไปครั้งนี้ จบลงอย่างแฮบปี้..ได้พบได้เจอมิตรใหม่ เพื่อนใหม่ ได้ฟังเรื่องราวเรื่องเล่ามากมาย ข้อสำคัญ พวกเราได้ฟิล์มหนังมารวมๆ กันแล้ว 154 ม้วน.. ฉายกันบานเลยครับ..


            เฉพาะแต่กรุฟิล์มที่จังหวัดร้อยเอ็ดนั้น แม้พวกเราจะได้ฟิล์มมาถึง 92 ม้วน แต่บางเรื่อง หนังก็ไม่จบเรื่องครับ..เพราะว่าพวกเรามีเวลาเลือกน้อย หากจะเลือกนานกว่านี้ ก็กลัวจะกลับกรุงเทพฯไม่ทัน อีกอย่างรถตู้ของพี่เที่ยงก็บรรทุกไม่ไหวแล้วเพราะก่อนหน้านั้นได้ใส่ฟิล์มหนังจากขอนแก่นไว้แล้ว 62 ม้วน ดังนั้น ต่างคนต่างก็เลือกหยิบแต่หนังเต็งๆ ชอบๆ กันมาก่อน..บางเรื่องก็เลยหยิบมาไม่จบเรื่อง..นี่แหละครับที่พวกเราต้องเร่งรีบในการทำความสะอาดและฉายเพราะเราจะกลับไปนำส่วนที่เหลือๆ มาอีก เจ้าของฟิล์มเขาอนุญาตไว้ประมาณ 2 เดือนครับ แต่เราคิดว่า จะเร่งให้เสร็จเร็วกว่านั้น..สรุปรายชื่อหนังที่ได้มานั้นเป็นหนังที่ออกฉายปี 2515-2522 ครับ..มีที่ สมบัติเป็นพระเอก 10 เรื่อง..กรุงเป็นพระเอก 4 เรื่อง..ครรชิต เป็นพระเอก 1 เรื่อง..ยอดชายเป็นพระเอก 1 เรื่อง..ครับ..

            ป.ล.สำหรับกรุฟิล์มร้อยเอ็ดนั้น เดี๋ยวพอผมตัดคลิปวีดีโอสัมภาษณ์ทายาทเจ้าของกรุฟิล์มเสร็จเมื่อไร พอฉาย ก็คงจะเห็นรายชื่อหนังกันนะครับ..กรุนี้ ผมเคยไปกับคุณโต๊ะพัีนธมิตรแล้วเมื่อ 10 ปีที่แล้ว แต่ตอนนั้นไปหาแต่หนัง 16 มม.ครับ..ครั้งนี้ ก็เลยพยายามเดินหาบ้านท่านอีก ก็สุ่มถามๆ จากความทรงจำเมื่อ 10 ปีที่แล้วครับ.. เจอท่าน ก็ดีใจครับ ปกติท่านไม่ค่อยอยู่บ้าน เราเองก็ไม่ได้นัดด้วย วันนั้นเจอกันจึงเป็นเรื่องของโชควาสนา ท่านยังบอกด้วยว่า สงสัยแต่เตี่ย(พ่อ)จะอยากให้พวกเราเห็นหนังเหล่านี้อีก จึงดลใจให้เราได้เจอกันง่ายๆ หนังเหล่านี้เราไม่กล้าขอนะครับ แต่ใช้วิธีจุดธูปบอกกล่าวดวงวิญญาณเตี่ย ขอยืมท่านมาฉายและจะรีบนำส่งคืน..วันนั้นพอเห็นท่านบอกว่า กำลังจะทำบุญให้เตี่ย พวกเราก็เลยนำเงินใส่ซองช่วยทำบุญกับท่านด้วยครับ..พวกเราคิดกันว่า ถ้าเตี่ยท่านไม่เก็บฟิล์มไว้ พวกเราก็อดดูกันหมดแน่ๆ เพราะหนังทั้ง 20 รายการนี้ ยังไม่เคยออกวีดีโอหรือวีซีดีมาก่อนเลย มีเพียงเรื่องเดียวที่เคยออกแ้ล้ว แต่ภาพไม่สวย เสียงไม่ชัดครับ..

            พวกเราตกลงกันว่า วันที่พวกเราจะนำฟิล์มไปคืนท่านนั้น จะไปช่วยจัดเรียงให้ใหม่ เรียงกระเป๋าฟิล์มหนังให้ดีๆ เพราะเตี่ยรักมาก..แล้วก็จะขอให้เพื่อนๆ ที่ได้ดูหนังชุดนี้ช่วยกันทำบุญให้เตี่ยท่านด้วยครับ ไม่มีเตี่ย ไม่มีท่าน พวกเราก็ไม่มีหนังเหล่านี้ดูหรอกครับ..บอกตรงๆว่า ฟิล์มของเตี่ยที่อายุมาก 40 ปีนี้ อยู่มาได้เพราะภูมิปัญญาเตี่ยจริงๆ รู้ไหมครับว่า เตี่ยท่านทำกระเป๋าใส่ฟิล์มหนังขึ้นมาเองจากไม้ครับ จึงทำให้ภายในกล่องไม้ดูเย็น ไม่ร้อนเหมือนกล่องพลาสติก..คอยดูเทปสัมภาษณ์นะครับ..

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22 พฤษภาคม 2014, 14:57:10 โดย นายเค »
สรพงษ์ ลิ้มทองคำ
5 หมู่ 7 ต.คลองตาคต อ.โพธาราม ราชบุรี 70120    E-Mail soraphol@hotmail.com
ธ.กรุงเทพ ออมทรัพย์ สาขา อาคารยาคูลท์ สนามเป้า   หมายเลขบัญชี  210-036236-3
ธ.ไทยพาณิชย์  ออมทรัพย์ สาขา บางเขน   หมายเลขบัญชี  041-273435-0
ติดต่อ 0909040355

ชมรมรักหนังกางแปลง โพธาราม ราชบุรี เรามาคุยกันได