แต่มาคิดอีกทีช่วงเวลา 6ปี ที่ผมผูกพันธ์กับโรงหนังนั้น มันก็เกือบทำให้ชีวิตผมต้องผลิกผันไปในเส้นทางเดินอีกเส้นหนึ่ง เพราะทางบ้านผมเริ่มจะไม่ค่อยเห็นด้วยกับพฤติกรรมของผม ที่วันๆเอาเวลาไปอยู่กันโรงหนังไม่ยอมช่วยงานที่บ้านเลย จนพ่อผมต้องบอกว่า ถ้าจะรักที่จะอยู่กับโรงหนังแล้วไม่ยอมช่วยงานบ้าน ก็ไปอยู่กับโรงหนังแล้วก็ไม่ต้องเรียนต่อจบแค่ม.ศ.3ก็พอแล้ว
ทำให้ผมเกิดรังเรเสียแล้ว ช่วงนี้จะเอายังไงดี คิดอยู่นานความใกล้ชิดกับโรงหนังเห็นทีจะต้องเริ่มเหินห่างเสียแล้ว ผมเข้าไปปรึกษากับนายช่างเล่าให้นายช่างฟัง นายช่างก็เข้าใจ แกสอนและแนะนำผม ชักแม่นำ้ทั้ง 5 เพื่อที่จะให้ผมเอาดีทางด้านการเรียน เพื่ออนาคตของผมเอง นายช่างแกก็ยกตัวอย่างของตัวแกเองให้ฟังว่า ตัวแกเองก็เริ่มจากการชอบอะไรที่คล้ายๆกับผมเหมือนกัน ฝึกการเขียนคัทเอาท์ตามโรงหนังซึ่งมีเส้นทางเดินที่คล้ายกัน
นายช่างเล่าให้ผมฟังต่อว่า ครั้งแรกที่เห็นผมเข้ามายืนดูแกเขียนรูป และได้พูดคุยกัน แกบอกว่ามีความรู้สึกว่าเราถูกชะตากัน มีอะไรที่คล้ายๆกัน แกเลยรับผมเป็นลูกศิษย์คนแรกของแก เพราะทำให้แกนึกถึงตอนวัยเด็กที่ผ่านมา นายช่างบอกให้ผมไปเรียนต่อและกลับไปช่วยงานที่บ้าน เพราะมันเป็นช่องทางของอนาคตในการดำเนินชีวิตที่หลากหลายกว่าอยู่ตรงโรงหนังนี้ ส่วนทางนี้ก็จะมีเพื่อนรุ่นน้องอีก 1 คนที่ยังอยู่พอที่จะช่วยงานได้ ส่วนเพื่อนผมอีกคนที่เข้ามาฝึกหลังผมเขาก็จบ ม.ศ.3 พร้อมที่จะไปเรียนต่อที่กรุงเทพฯ คราวนี้นายช่างก็จะมีผู้ช่วยเหลืออยู่เพียงคนเดียว....ช่วงนั้น (ปี 2518) คิดแล้วก็ใจหายเมื่อนึกถึงความผูกพันธ์อันยาวนาน